Loading...

‘การสื่อสารด้วยหัวใจ’ พื้นฐานการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น

        ความสัมพันธ์ในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือคนรัก ล้วนมีองค์ประกอบสำคัญที่คอยเชื่อมโยงและหล่อเลี้ยงให้คงอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “การสื่อสาร” หากการสื่อสารเกิดขึ้นอย่างไม่เข้าใจหรือขาดหายไป ปัญหาที่สะสมอาจกลายเป็นกำแพงที่ทำลายความสัมพันธ์ในที่สุด แต่ในทางกลับกัน หากเราเลือกที่จะ “สื่อสารด้วยหัวใจ” การเปิดใจรับฟัง เข้าใจ และใส่ใจกันอย่างแท้จริง จะช่วยเติมเต็มความสัมพันธ์และสร้างพื้นที่ที่ทุกฝ่ายรู้สึกถึงคุณค่าและความผูกพัน

        ในบทความนี้ LSEd Let’s Talk ขอเชิญทุกคนมาร่วมสำรวจความสำคัญของ “การสื่อสารด้วยหัวใจ” ผ่านมุมมองของ ผศ.ดร.ปวีณา แช่มช้อย (อ.จ๊อยส์) อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์และการดูแลสุขภาวะ (Well-being) ทั้งในมิติของการเรียนรู้และชีวิตประจำวัน

        บทความนี้จะพาทุกคนไปค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างการสื่อสารและความสัมพันธ์ พร้อมแบ่งปันประสบการณ์และคำแนะนำที่นำไปปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพทั้งในและนอกห้องเรียน ผ่านมุมมองอันลึกซึ้งและจริงใจจาก อ.จ๊อยส์

        สำหรับ อ.จ๊อยส์ การสื่อสารไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายทอดข้อมูลจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง แต่เป็นการแลกเปลี่ยนอารมณ์ ความรู้สึก และแนวคิด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เพราะแต่ละคนเติบโตมาจากบริบทชีวิตที่แตกต่างกัน มีประสบการณ์ วิธีคิด และมุมมองต่อโลกที่ไม่เหมือนกัน เมื่อต้องสื่อสารกัน เราจึงไม่ได้เพียงพูดหรือฟังคำพูดของกันและกัน แต่ยังนำพาเอาประสบการณ์ชีวิตของตัวเองเข้าไปในบทสนทนาด้วย

        การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่แค่การเข้าใจเนื้อหาของสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ต้องเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของเขาด้วย เราจะสื่อสารอย่างไรให้ไม่เพียงแค่รับรู้ข้อมูล แต่ยังเข้าถึงตัวตนของคนตรงหน้า ทำให้อีกฝ่ายได้รับความเข้าใจ ในขณะเดียวก็สามารถสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกและความต้องการของตนเองได้ นี่คือจุดสำคัญของ “การสื่อสารด้วยหัวใจ”

        อีกทั้ง การสื่อสารด้วยหัวใจยังหมายถึงการเชื่อมโยงกับตัวเราเอง หรือที่เรียกว่า Intrapersonal Communication ซึ่งเป็นการสนทนาภายในที่ช่วยให้เราตระหนักรู้ถึงอารมณ์และความต้องการของตนเอง หากเรามีพื้นที่ภายในที่ดี เราก็จะสามารถสื่อสารกับคนรอบข้างได้อย่างสมดุลและเป็นสุข การเข้าใจตัวเองยังช่วยให้เรารับรู้และจัดการกับอคติ ไม่สับสนระหว่างเสียงตัดสินของตนเอง กับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังสื่อสาร  หากไม่รู้เท่าทันอคติ คุณภาพการฟังเราอาจลดลง กลายเป็นการฟังเพื่อยืนยันอคติตนเองที่มีต่อคนตรงหน้า

        เมื่อเราดูแลความรู้สึกตนเองได้และมีความมั่นคงภายในมากพอ เราก็จะมีพื้นที่เหลือพอสำหรับทำความเข้าใจผู้อื่น มีหัวใจที่เปิดกว้าง สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับพวกเขามากขึ้น ซึ่งอาจเป็นส่วนให้นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน การสื่อสารที่ดีจึงเริ่มจากภายในตัวเราเอง ก่อนจะส่งต่อไปยังโลกภายนอกด้วยความเข้าใจและความใส่ใจที่แท้จริง

เมื่อความรักไม่ใช่การคาดเดา: พลังของการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา

        อ.จ๊อยส์กล่าวว่า ความรักเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงการสื่อสารได้ เพราะความสัมพันธ์ที่ดีต้องอาศัยการสื่อสารที่เปิดกว้างและจริงใจ ทั้งกับตัวเองและกับอีกฝ่าย หากปราศจากการสื่อสาร ความสัมพันธ์ย่อมมีโอกาสเปราะบางและไม่มั่นคง

        หนึ่งในปัจจัยสำคัญของความรักคือ “ความคาดหวัง” ยิ่งรักมาก ยิ่งมีความคาดหวังมาก แต่ปัญหามักเกิดขึ้นเมื่อเราคาดหวังให้อีกฝ่ายเป็นผู้ตอบสนองสิ่งที่เราต้องการ โดยไม่ได้ตระหนักว่าความคาดหวังเหล่านั้นเป็นของเรา และเราควรเป็นผู้จัดการกับมันเอง การมอบภาระนี้ให้กับอีกฝ่าย อาจทำให้เรามองว่า “ถ้าเขารักเรา เขาต้องรู้ว่าเราอยากได้อะไร” ทั้งที่จริงแล้ว ความรักกับการเติมเต็มความคาดหวังอาจเป็นคนละเรื่องกัน

        นอกจากนี้ หลายคนอาจเชื่อว่า “ถ้ารักกัน ก็ควรเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด" แต่ในความเป็นจริง คนแต่ละคนมีบริบทชีวิตและมุมมองที่แตกต่างกัน หากเราไม่สื่อสารให้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไร และคิดว่าอีกฝ่ายควรรู้เอง การคาดเดากันไปมานี้อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด และกลายเป็นอุปสรรคของความสัมพันธ์

        ซึ่งความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ น่าจะต้องเป็นความรู้สึกสงบ เย็น สบาย มากกว่าความรู้สึกร้อนรน รอคอยให้อีกฝ่ายมาเติมเต็มความคาดหวังของเรา ซึ่งบางคนอาจสับสน ระหว่างความรู้สึกเบื่อกับความสงบสุข และมุ่งใฝ่หาความตื่นเต้น กระวนกระวาย  ในความสัมพันธ์ เพราะมองว่าเป็นสิ่งที่ให้ชีวิตชีวา และอาจตีความไปว่า สิ่งนี้คือเคมีของความรัก

        ทางออกที่ดีที่สุดคือ การเปิดใจสื่อสารความรู้สึกและความต้องการอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความเข้าใจว่าทั้งเราและเขาต่างมีบริบทชีวิตของตัวเอง หากเราสามารถสื่อสารสิ่งที่คาดหวังอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา โดยไม่ใช้ความโกรธหรือความน้อยใจเป็นตัวนำทาง ก็จะช่วยให้เกิดความเข้าใจตรงกัน และทำให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น

จัดการปัญหาความสัมพันธ์ด้วยการเปิดใจสื่อสาร

        “...การหลีกเลี่ยงที่จะไม่สื่อสารอาจเป็นสิ่งที่ไม่ช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น และไม่ได้ลดความขัดแย้งลง” อ.จ๊อยส์อธิบายว่าหากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ สิ่งสำคัญคือการพยายามทำความเข้าใจและจัดการกับความขัดแย้งนั้น มากกว่าการด่วนรีบปัดปัญหาทิ้งหรือหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงมัน

        หนึ่งในแนวทางการสื่อสารที่ช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจ คือการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และชัดเจน หากเรารู้สึกไม่สบายใจหรือมีปัญหาในความสัมพันธ์ สิ่งแรกที่ควรทำคือใคร่ครวญความรู้สึก ความต้องการของตนเอง และสื่อสารความรู้สึกของตนเองออกมาอย่างซื่อสัตย์ โดยไม่คาดหวังให้อีกฝ่ายเข้าใจโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม การสื่อสารนั้นไม่ควรทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนถูกตำหนิหรือต้องรับผิดชอบทั้งหมด แต่ควรมุ่งเน้นที่การบอกเล่าความรู้สึกของตัวเอง และร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสม

        อ.จ๊อยส์ยังเน้นย้ำว่าการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพยายามเข้าใจทั้งตัวเราเองและอีกฝ่ายไปพร้อม ๆ กัน โดยให้ความสำคัญกับ “ความสัมพันธ์” มากกว่า “ตัวเรื่องราวปัญหา” เพราะเมื่อความสัมพันธ์ดีและทั้งสองฝ่ายรู้สึกปลอดภัยที่จะเปิดใจพูดคุย ความขัดแย้งจะเบาบางลง และนำไปสู่การจัดการปัญหาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

บทเรียนจากประสบการณ์: การสื่อสารด้วยหัวใจเปลี่ยนความสัมพันธ์ได้อย่างไร

        อ.จ๊อยส์เล่าว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ยังไม่เคยเห็นความสัมพันธ์ไหนที่มีคุณภาพและยั่งยืนโดยปราศจากความพยายามในการสื่อสาร หรือความสัมพันธ์ที่ราบรื่นจากคนที่ยืนยันว่าชอบเวลาที่อีกฝ่ายไม่สื่อสารอะไร  ซึ่งหากมองในบริบทของการทำงาน เช่น การสอนหนังสือ การสร้างรากฐานของความสัมพันธ์กับผู้เรียนถือเป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะก้าวสู่การเรียนรู้ร่วมกัน การให้เวลาในช่วงเริ่มต้นเพื่อสร้างความเชื่อมโยงและความเข้าใจซึ่งกันและกัน จะทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่าอาจารย์พยายามเข้าถึงและเข้าใจโลกของเขา ในขณะเดียวกัน การเปิดเผยความรู้สึกและสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้สอน ก็ช่วยให้บรรยากาศในห้องเรียนเอื้อต่อการเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น เพราะทุกคนในชั้นเรียนเห็นว่าทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นล้วนมีความหมายต่อการเรียนรู้ของทุกๆ คน

        สิ่งที่อ.จ๊อยส์ทำมาตลอด คือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นในห้องเรียน และการใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์ในเชิงลึกกับผู้เรียน เช่น การตอบกลับ Reflection ซึ่งเป็นงานเขียนสะท้อนความคิดหรือความรู้สึกส่วนตัว ที่มีต่อประสบการณ์การเรียนรู้แต่ละคาบเรียน อาจารย์จะอ่านทุกข้อความอย่างตั้งใจ พยายามเข้าใจโลกของนักศึกษา และตอบกลับเหมือนได้สนทนากันตัวต่อตัว พื้นที่นี้ไม่เพียงช่วยให้นักศึกษากล้าที่จะแบ่งปันเรื่องราวของตนเอง แต่ยังทำให้อาจารย์สามารถสังเกตได้ว่า นักศึกษาแต่ละคนกำลังเผชิญปัญหาใด ทั้งในเรื่องส่วนตัวหรือการเรียน สิ่งนี้เปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์และความเข้าใจกันระหว่างอาจารย์กับผู้เรียน

แนวทางปรับใช้การสื่อสารด้วยหัวใจในทุกมิติของชีวิต

        อ.จ๊อยส์ได้ให้คำแนะนำ 3 ประเด็นสำคัญสำหรับการนำ “การสื่อสารด้วยหัวใจ” ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในและนอกห้องเรียน

        ประเด็นแรก การให้ความสำคัญกับ “ความสัมพันธ์” ก่อนการสื่อสารในเชิงการจัดการ เช่น การสอน การให้ฟีดแบค หรือการให้คำแนะนำ หลักการสำคัญที่ใช้ได้ดีคือ “Connect before correct” หรือ “เชื่อมความสัมพันธ์ก่อนที่จะสอนหรือแนะนำ” เพราะบางครั้งเมื่อเราต้องสื่อสารกับคนที่ไม่คุ้นเคย อาจเกิดคำถามในใจเกี่ยวกับความคิดหรือความเชื่อของเขา การสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะช่วยให้เราวางอคติและการตัดสินใจลง ทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างสรรค์มากขึ้น

        ประเด็นที่สอง การสื่อสารภายในตัวเอง (intrapersonal communication) ก่อนที่จะสื่อสารกับผู้อื่น เราควรกลับมาทบทวนตัวเองว่ากำลังรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร และต้องการอะไร การตรวจสอบตัวเองจะช่วยให้เราตระหนักถึงเสียงภายในและอคติที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงช่วยชะลอการตัดสินผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ การสื่อสารจากความตระหนักรู้ในตัวเองนี้ จะช่วยให้เรามีสติมากขึ้นและสามารถสื่อสารได้จากสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี

        ประเด็นสุดท้าย การตั้งขอบเขต (boundaries) ของตัวเอง การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นไม่ได้หมายความว่าเราต้องตามใจหรือช่วยเหลือเขาในทุกเรื่อง จนละเลยความต้องการของตัวเอง การตั้งขอบเขตที่ชัดเจน เช่น การแบ่งพื้นที่ส่วนตัว หรือการบอกความต้องการของเรา จะช่วยให้เรารักษาสุขภาพจิต และเป็นการเคารพตัวเอง อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เรียนรู้ว่าเรามีความต้องการและข้อจำกัดอะไร การตั้งขอบเขตไม่ใช่การปิดกั้น หรือเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์และคาดหวังว่า คนอื่นไม่ควรทำอะไรกับเรา เพราะการที่มีการละเมิดขอบเขตเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเพราะคนอื่นก้าวล่วง แต่เป็นเพราะเราอนุญาตให้อีกฝ่ายลุกล้ำขอบเขตของเรา ดังนั้น ควรเริ่มมาจากตัวเราเองที่เคารพตนเองด้วยการดูแลขอบเขตที่ตนเองกำหนด และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความเข้าใจและความเคารพซึ่งกันและกัน

        นอกจากนี้ อ.จ๊อยส์ยังแนะนำเพิ่มเติมว่า การใช้ “I-message” ในการสื่อสาร เช่น การบอกความรู้สึก ความต้องการของเรา และการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น จะช่วยลดความขัดแย้งและสร้างการสนทนาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทุกมิติของชีวิต

        สุดท้ายนี้ การสื่อสารด้วยหัวใจไม่ใช่เพียงแค่การพูดหรือฟังอย่างตั้งใจ แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่หยั่งลึกถึงความเข้าใจในตัวเองและผู้อื่น ผ่านการเปิดใจ รับฟัง และเชื่อมโยงอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน ที่ทำงาน หรือชีวิตส่วนตัว การสื่อสารด้วยหัวใจช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนได้แสดงความเป็นตัวเองอย่างอิสระ และเป็นสะพานที่เชื่อมโยงความแตกต่างให้กลายเป็นความสัมพันธ์ที่งดงาม ด้วยการเริ่มต้นจากการเข้าใจตนเอง การเคารพขอบเขต และการสื่อสารอย่างโปร่งใส

เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค