Loading...

‘สิทธิสตรีในสังคมไทย’ ความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม

        สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการพื้นฐานที่รับรองความเสมอภาคและศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน โดยไม่แบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ หรือสถานะทางสังคม ในบริบทของสิทธิสตรี นี่คือการเรียกร้องให้ผู้หญิงได้รับโอกาสและอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองอย่างเท่าเทียมกับบุคคลอื่น การต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีจึงเป็นส่วนหนึ่งของกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่ต้องฝ่าฟันอคติทางเพศและโครงสร้างที่กดทับมาอย่างยาวนาน

        ในอดีต ผู้หญิงถูกจำกัดบทบาททั้งในครอบครัวและสังคม ไม่ได้รับสิทธิในการศึกษา การทำงาน หรือแม้แต่การตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของตนเอง อย่างไรก็ตาม ด้วยการเรียกร้องและการต่อสู้จากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรี ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางการศึกษา บทบาททางเศรษฐกิจ หรือสิทธิทางกฎหมายที่พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง เช่น การที่ประเทศไทยให้สิทธิยุติการตั้งครรภ์อย่างถูกกฎหมาย แต่ถึงแม้กฎหมายจะเปลี่ยนไป ทัศนคติของสังคมบางส่วนยังคงตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงที่ตัดสินใจทำแท้ง

        ความท้าทายสำคัญของการขับเคลื่อนสิทธิสตรีในปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ที่กฎหมายหรือหลักการเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่อคติทางเพศและความเชื่อฝังหัวที่ยังคงมีอยู่ในสังคม ซึ่งส่งผลต่อวิธีที่เราปฏิบัติต่อกันในชีวิตประจำวัน เช่น การกำหนดบทบาทชายหญิงตั้งแต่วัยเด็ก หรือการคาดหวังให้ผู้ชายเป็นผู้นำ ขณะที่ผู้หญิงต้องทำหน้าที่สนับสนุน สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคที่ทำให้ความเสมอภาคทางเพศยังไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง

        LSEd Social Change ชวนพูดคุยประเด็นเกี่ยวกับสิทธิสตรีกับ ดร.อันธิฌา แสงชัย หรือ อ.อัน อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อสำรวจความก้าวหน้าและความท้าทายของสิทธิสตรี ถอดบทเรียนปัจจัยที่ทำให้ประเด็นนี้ยังคงเผชิญอุปสรรค วิเคราะห์บทบาทของการศึกษาและการเรียนรู้ในการขับเคลื่อนสิทธิสตรี และแนวทางที่ส่งเสริมให้สิทธิสตรีได้รับการพูดถึงและพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

        อ. อัน กล่าวถึงพัฒนาการของสิทธิสตรีในประเทศไทยว่า แม้จะมีการเคลื่อนไหวและต่อสู้มาอย่างยาวนาน แต่ปัจจุบันยังคงมีทั้งความก้าวหน้าและอุปสรรคควบคู่กันไป ตัวอย่างเช่น ในประเด็นสิทธิแรงงาน แรงงานหญิงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดหลักประกันและสวัสดิการต่าง ๆ ผ่านการเคลื่อนไหวของภาคแรงงาน ขณะที่ในภาคการเมือง ก็มีผู้หญิงจำนวนมากขึ้นที่ก้าวเข้ามามีบทบาททางการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงการเปิดพื้นที่ที่เคยถูกจำกัดในอดีต

        อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญที่ยังคงอยู่คือ ระบบความคิดและอคติทางสังคมที่ฝังรากลึก แม้ปัจจุบันคนจะตระหนักถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น แต่ก็ยังมีอคติบางอย่างที่เป็นกำแพงขวางกั้น แม้แต่ผู้หญิงเอง บางครั้งก็ยังถูกหล่อหลอมให้ยึดติดกับขนบธรรมเนียมดั้งเดิมเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงในสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง

        อ. อัน ยังเล่าถึงพัฒนาการของขบวนการสิทธิสตรีในระดับสากลว่า ในอดีต การเคลื่อนไหวเริ่มต้นจากกลุ่มผู้หญิงผิวขาวชนชั้นกลางที่มีอำนาจและโอกาสทางการศึกษา ก่อนจะขยายไปสู่ผู้หญิงผิวสีและผู้หญิงที่มีความหลากหลายทางเพศ จนในปัจจุบัน ขบวนการได้เริ่มให้ความสำคัญกับสิทธิของผู้หญิงที่อยู่ชายขอบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้พิการ Sex Workers หรือผู้หญิงที่มีความหลากหลายทางเพศ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที แต่ต้องอาศัยระยะเวลาและความพยายามอย่างต่อเนื่องภายใต้บริบทของขบวนการเคลื่อนไหวเอง

อุปสรรคต่อการส่งเสริมสิทธิสตรี: มุมมองจาก อ. อัน

        “อคติ เป็นประเด็นที่ลุ่มลึกมาก” อ. อัน กล่าว พร้อมอธิบายว่า แม้เราจะพยายามตระหนักรู้และฝึกเท่าทันอคติของตนเอง แต่เราไม่มีทางปราศจากอคติได้อย่างสิ้นเชิง เพราะอคติเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเข้าใจโลกและบทบาทของตนเองในสังคม ตั้งแต่เด็ก เราถูกปลูกฝังให้มองโลกในแบบที่ครอบครัวและวัฒนธรรมของเรากำหนด เช่น แนวคิดเรื่องอายุ ที่กำหนดว่าผู้อายุน้อยกว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร หรือเรื่องเพศ ที่มีกรอบของสิ่งที่ “ควร” หรือ “ไม่ควร” ทำ เราเติบโตและเรียนรู้ผ่านวัฒนธรรม ค่านิยม และบรรทัดฐานเหล่านี้ ซึ่งทำให้เราสื่อสารและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกมองว่าเป็นกฎตายตัว แต่ต้องมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

        ในปัจจุบัน ประเด็นสิทธิสตรีเชื่อมโยงโดยตรงกับสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่เน้นความเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แนวคิดนี้แตกต่างจากในอดีตที่มนุษย์มักนิยามตนเองผ่านมิติทางศาสนา ระบบสังคม และจารีตครอบครัว ปัจจุบันเรามองความเป็นมนุษย์ผ่านกรอบของกฎหมายและสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งกำหนดว่าทุกคนมีสิทธิที่ไม่อาจถูกพรากไปได้ และในความหมายใหม่นี้ ผู้หญิงก็ถูกรวมอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่เสมอภาคเช่นกัน

        หากกล่าวถึงโครงสร้างทางสังคมแบบปิตาธิปไตย โดยเฉพาะในบริบทของครอบครัวผู้ชายถูกวางให้เป็นหัวหน้าครอบครัวและผู้ดูแล แต่ในทางปฏิบัติ เมื่ออำนาจไม่ได้ถูกใช้อย่างเท่าเทียม ก็อาจนำไปสู่การกดขี่มากกว่าการดูแล สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างทางสังคมที่สร้างความไม่เท่าเทียมทางอำนาจและเพศ

        อ. อัน ยังกล่าวถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศที่เกิดขึ้นกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ในสังคม ผู้ชายเองก็ถูกจัดลำดับชั้น เช่น พี่ชายคนโตอาจถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำ ในขณะที่น้องชายคนเล็กอาจถูกลดบทบาท หรือผู้ชายที่แข็งแกร่งและกล้าพูด อาจได้รับการยอมรับมากกว่าผู้ชายที่อ่อนโยนและไม่แสดงภาวะผู้นำ ขณะที่ผู้หญิงก็ถูกแบ่งระดับเช่นกัน แม้ผู้หญิงที่เก่งที่สุด อาจยังไม่ถูกมองว่าสูงเท่ากับผู้ชายที่มีความสามารถปานกลาง หรือแนวคิดที่ว่าผู้หญิงที่เชื่อฟังพ่อแม่และทำตามขนบสังคมคือ “ผู้หญิงที่ดี”

        เราอยู่กับโครงสร้างเหล่านี้มาโดยตลอด จนกระทั่งแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้ามาเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดของสังคม โดยกำหนดมาตรฐานเดียวกันว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน สิทธิสตรีจึงเป็นการต่อสู้เพื่อให้ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ใน “เกรด” หรือบทบาทใดในสังคม ได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาค เพราะท้ายที่สุด สิทธิสตรีก็คือส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน ที่ช่วยรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน

บทบาทของการศึกษาและการเรียนรู้ต่อการขับเคลื่อนสิทธิสตรี

        “ไม่มีสังคมไหนที่หยุดนิ่ง สังคมต้องวิวัฒน์ไปตลอด” อ.อัน กล่าว พร้อมอธิบายว่าปัญหาต่าง ๆ ในสังคมย่อมต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง และ การศึกษา เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงนั้น พื้นที่ทางการศึกษาจึงเป็นพื้นที่แห่งการต่อรองทางความคิดและอุดมการณ์

        สิทธิสตรีเองมีบทบาทสำคัญในมิติทางการศึกษา เดิมที ผู้หญิงแทบไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา แต่เมื่อสังคมพัฒนาและเศรษฐกิจต้องการแรงงานที่มากขึ้น ผู้หญิงจึงมีโอกาสเข้าสู่ระบบการศึกษาและตลาดแรงงานมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการปรับตัวของสังคม แต่ยังชี้ให้เห็นว่า การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางสังคม ส่งผลให้ปัจจุบันผู้หญิงมีบทบาทในตำแหน่งผู้นำในองค์กรต่าง ๆ มากขึ้น เนื่องจากได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เสมอภาคมากขึ้น

        นอกจากนี้ บทบาททางเพศในการศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสิทธิสตรีเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงประเด็นสิทธิทางเพศในมิติต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น การเลือกหัวหน้าห้องที่เคยถูกมองว่าเป็นบทบาทของเด็กผู้ชาย ปัจจุบันมีเด็กผู้ชายหลายคนที่แสดงเจตจำนงว่าไม่ต้องการบทบาทนี้ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติที่ไม่ได้จำกัดบทบาทตามเพศสภาพ

        อ.อัน กล่าวต่อว่า แม้แต่ในระดับปฐมวัย เด็ก ๆ ก็ได้รับการปลูกฝังบทบาททางเพศผ่านสิ่งต่าง ๆ เช่น สีของเครื่องแต่งกายที่แยกเป็น สีฟ้าสำหรับเด็กผู้ชาย สีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิง ซึ่งทำให้เด็กหลายคนตั้งคำถามว่าทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถเลือกสีที่ชอบได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมเปิดกว้างขึ้น มีการนำเสื้อผ้า Unisex เข้ามา และการสอนเรื่องเพศที่เริ่มตั้งแต่ระดับปฐมวัย ทำให้เด็กค่อย ๆ ซึมซับความหลากหลายทางเพศและบทบาททางสังคมที่ยืดหยุ่นขึ้น

        ดังนั้น การศึกษาไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการเรียนรู้ แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม เปิดโอกาสให้เกิดการถกเถียง ปรับเปลี่ยนค่านิยม และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิสตรีและสิทธิทางเพศในมิติต่าง ๆ

        “สิทธิสตรีเป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดประเด็นเรื่องสิทธิทางเพศในมิติที่กว้างขึ้น เมื่อสังคมหันมาพูดถึงและตระหนักถึงสิทธิสตรีมากขึ้น ก็ยิ่งนำไปสู่การตั้งคำถามและขยายความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิของเพศอื่น ๆ ด้วย ในขณะเดียวกัน การศึกษามีบทบาทสำคัญในการทำให้ผู้คนค่อย ๆ ตระหนักและเข้าใจประเด็นเหล่านี้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น”

จากบทสนทนาสู่การเปลี่ยนแปลง: สังคมต้องทำอะไร เพื่อให้สิทธิสตรีเป็นมากกว่าคำพูด?

        อ.อัน แสดงความคิดเห็นว่า แม้ประเด็นเรื่องสิทธิสตรีจะถูกพูดถึงและถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน แต่ยังมีทั้งเรื่องที่ได้รับการพัฒนาและเรื่องที่ยังต้องต่อสู้ต่อไป โดยเฉพาะในบางพื้นที่ที่ยังถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขทางสังคมหรือศีลธรรม เช่น การทำแท้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิของผู้หญิงในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของตนเอง แม้ว่ากฎหมายไทยจะมีพัฒนาการที่เปิดกว้างขึ้น เช่น การยุติการตั้งครรภ์ที่ถูกกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติยังคงมีการตีตราและการเลือกปฏิบัติอยู่

        นอกจากการผลักดันในเชิงหลักการ นโยบาย และกฎหมาย ซึ่งสังคมได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น สิทธิในการลาคลอด สิ่งที่ยังต้องทำควบคู่กันคือ การลดอคติทางเพศและความเชื่อเดิมที่ฝังรากลึกในสังคม อคติเหล่านี้ส่งผลต่อการตัดสินและปฏิบัติต่อกัน เช่น คนที่ผ่านการทำแท้งอาจถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี เพียงเพราะการตัดสินใจของเขาไม่สอดคล้องกับมาตรฐานทางศีลธรรมของสังคม ซึ่งในความเป็นจริง อคติแฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา แม้แต่ในวงสนทนากับเพื่อน เราอาจเผลอตัดสินกันโดยไม่รู้ตัวและส่งผลต่อพฤติกรรมที่มีต่อกัน

        “หากเราต้องการทำงานเพื่อสิทธิสตรี ความเป็นธรรมทางเพศ และความเสมอภาคในสังคม สิ่งสำคัญคือเราต้องทำงานกับอคติทางเพศและความเชื่อเดิมที่ฝังรากลึกในสังคม” อ.อันกล่าว

        การเท่าทันและตระหนักรู้ถึงอคติที่มีอยู่ในตัวเราเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนแปลง หากเราสามารถรับรู้และยอมรับว่ามีอคติอยู่ เราก็สามารถพยายามปรับเปลี่ยนทัศนคติของตนเองได้ ซึ่งแม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ก็ช่วยลดอคติที่ฝังลึกในสังคมให้เบาบางลง

        นอกจากนี้ เมื่อพูดถึงสิทธิสตรี หลายคนอาจนึกถึงแค่ผู้หญิงหรือกลุ่มคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศแบบหนึ่งเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง รากเหง้าของปัญหาที่กลุ่มผู้หญิงเผชิญอยู่มักเชื่อมโยงกับประเด็นของคนกลุ่มอื่นด้วย เพราะพวกเขาต่างก็ต้องเผชิญกับอคติและข้อจำกัดในสังคมเช่นเดียวกัน

เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค