การออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้: เมื่อความพิการไม่ควรถูกมองข้าม ในพื้นที่การศึกษา
เคยสังเกตไหมว่า… สภาพแวดล้อมรอบตัวเราส่งผลต่อการเรียนรู้มากแค่ไหน? สำหรับหลายคน การเดินเข้าอาคารหรือใช้พื้นที่สาธารณะอาจเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับผู้พิการแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจเต็มไปด้วยอุปสรรคที่ขวางกั้นการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมในสังคม
การออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ที่รองรับความหลากหลายจึงเป็นมากกว่าแค่การสร้างทางลาดหรือห้องน้ำสำหรับผู้พิการ แต่คือการตั้งคำถามว่า ‘เรากำลังออกแบบพื้นที่ที่ใครใช้ได้บ้าง และใครถูกกันออกไป’
เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น LSEd Let’s Talk ชวนมองประเด็นการออกแบบพื้นที่การเรียนรู้สำหรับผู้พิการ ผ่านบทสัมภาษณ์ ผศ.ดร.ธิดา ทับพันธุ์ หรือ อ.ขวัญ อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนร่วมของเด็กพิเศษในระบบการศึกษา มาร่วมค้นหาความหมาย ความเข้าใจ และความเชื่อเกี่ยวกับความพิการ และสำรวจว่าเราจะออกแบบสังคมที่ทุกคนสามารถเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกันได้อย่างไร
อ.ขวัญให้ข้อสังเกตว่าการออกแบบพื้นที่ในปัจจุบันมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยแนวคิด Universal Design หรือการออกแบบเพื่อทุกคน ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ผู้พิการเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงผู้สูงอายุ เด็ก และประชาชนทั่วไป เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น
อ.ขวัญ อธิบายต่อถึงการตระหนักรู้ของสังคมที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านการมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการมากขึ้น เช่น ที่จอดรถสำหรับผู้พิการในสถานที่ต่าง ๆ หรือห้องน้ำสำหรับผู้พิการในพื้นที่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการพัฒนาสิ่งเหล่านี้ แต่กลับพบว่ายังมีข้อจำกัดในการใช้งานจริง ตัวอย่างเช่น บางพื้นที่มีทางเท้าแต่ไม่มีทางลาด หรือทางลาดที่สร้างขึ้นกลับแคบเกินไปจนรถเข็นผ่านไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้อย่างแท้จริง
อีกทั้ง ยังมีข้อจำกัดที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้พิการในรูปแบบอื่น ๆ เช่น สำหรับผู้พิการทางสายตา การเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ อาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากจำเป็นต้องอาศัยสัญลักษณ์นำทางที่ชัดเจน หรือระบบเสียงแจ้งเตือนเพื่อช่วยระบุตำแหน่ง เช่นเดียวกับการข้ามถนนที่ต้องอาศัยสัญญาณไฟจราจรที่มีเสียงประกอบ แต่ในหลายพื้นที่ยังขาดระบบเหล่านี้ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัย ขณะที่ผู้พิการทางการได้ยิน หากมีมอเตอร์ไซค์ขับบนทางเท้าโดยไม่มีสัญญาณเตือน พวกเขาอาจไม่สามารถรับรู้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามาได้ ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยในการเดินทางในชีวิตประจำวัน
แม้ตึกใหม่ ๆ จะเริ่มมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันมากขึ้น เช่น ทางลาด ลิฟต์ หรือห้องน้ำที่ออกแบบมาสำหรับผู้พิการ แต่เมื่อทดลองใช้งานจริงกลับพบว่าบางจุดยังคงเป็นอุปสรรค เช่น กลอนประตูห้องน้ำที่แข็งเกินไป ซึ่งอาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือทางลาดที่ออกแบบมาแคบจนใช้งานได้ยาก แม้ว่าสังคมจะให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ที่ครอบคลุมทุกคนมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติยังคงมีจุดที่ต้องปรับปรุง
นอกจากนี้ การตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นไม่ได้หมายความว่าอคติจะหมดไป ตัวอย่างเช่น บางคนตั้งคำถามว่าคนทั่วไปสามารถจอดรถในที่จอดสำหรับผู้พิการได้หรือไม่ หากไม่มีผู้ใช้งาน หรือบางครั้งมีการจอดรถขวางทางขึ้น-ลงของผู้พิการเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีใครมาใช้ ทั้งที่ในความเป็นจริง การกระทำเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการใช้ชีวิตของผู้พิการ ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเจตนาร้ายเสมอไป แต่บ่อยครั้งเป็นเพราะคนทั่วไป “คิดไม่ถึง” ว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อผู้อื่น
ความท้าทายในการออกแบบพื้นที่สำหรับผู้พิการให้รองรับการใช้งานจริง
ปัญหาหลักที่ทำให้การออกแบบพื้นที่สำหรับผู้พิการยังไม่สมบูรณ์เกิดจากหลายปัจจัย อ.ขวัญอธิบายว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือการที่ผู้ออกแบบไม่ได้ตระหนักถึงปัญหานี้ เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้ใช้งานจริง หลายครั้งพบว่า คนที่ออกแบบไม่ได้ใช้เอง และคนที่ใช้ไม่ได้เป็นคนออกแบบ ส่งผลให้สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาอาจไม่ตอบโจทย์การใช้งานจริง เช่น ก๊อกน้ำที่สูงเกินไป กลอนประตูห้องน้ำที่แข็งจนผู้พิการที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรงใช้งานลำบาก หรือแม้แต่โต๊ะอาหารในโรงอาหารที่อาจไม่เหมาะสมกับการใช้งานของผู้พิการ
อีกปัจจัยหนึ่งคือข้อจำกัดทางด้านงบประมาณและโครงสร้างเดิมของอาคาร โดยเฉพาะอาคารเก่าที่สร้างขึ้นก่อนที่แนวคิด Universal Design จะได้รับการยอมรับ เช่น อาคารหลายแห่งไม่มีปุ่มเปิดประตูอัตโนมัติ ทำให้การเข้าออกของผู้พิการเป็นไปได้ยาก ในขณะที่ต่างประเทศมีการติดตั้งปุ่มเปิดประตูเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้พิการและคนทั่วไปที่อาจต้องถือของหนักหรือไม่มีมือว่างในการเปิดประตู
ในการออกแบบ เราอาจคิดว่าสิ่งที่สร้างขึ้นสามารถรองรับการใช้งานของผู้พิการได้ แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลับพบว่าบางอย่างไม่สามารถใช้งานได้ตามที่คาดหวัง หรือไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับผู้พิการทุกกลุ่ม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการออกแบบเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถ fit all หรือรองรับทุกความต้องการได้
ดังนั้น ในกระบวนการออกแบบจึงต้องคำนึงถึงความครอบคลุม (inclusive design) และความยืดหยุ่น (flexibility) ว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนหรือรองรับการใช้งานของผู้คนที่มีความต้องการที่หลากหลายได้อย่างไร เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้อย่างแท้จริง
ขอบคุณรูปภาพจาก MGR Online
การออกแบบพื้นที่การเรียนรู้สำหรับผู้พิการ
เมื่อมองในบริบทของพื้นที่การเรียนรู้ อ.ขวัญตั้งข้อสังเกตว่า พื้นที่การเรียนรู้ในไทยยังไม่เอื้อต่อการที่ผู้พิการจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง พวกเขายังต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ ทั้งที่เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถช่วยให้พวกเขาดำรงชีวิตได้อย่างอิสระ พื้นที่สาธารณะ เช่น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หรือสวนสาธารณะ ยังไม่สามารถรองรับการใช้งานของผู้พิการได้เพียงพอ ส่งผลให้ผู้พิการบางคนรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของผู้อื่น และเลือกที่จะไม่ออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน ในขณะที่ต่างประเทศมีการออกแบบพื้นที่ให้รองรับการใช้งานของทุกคน ทำให้ผู้พิการสามารถท่องเที่ยวหรือใช้ชีวิตนอกบ้านได้สะดวกกว่า
“เราอยากเห็นเมืองไทยมีพื้นที่สาธารณะที่ทำให้ผู้พิการสามารถช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น หรืออย่างน้อยช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ดูแล” อ.ขวัญกล่าว
ความเข้าใจ การตระหนักรู้ และการยอมรับ: ก้าวสำคัญสู่สังคมที่เป็นมิตรกับผู้พิการ
อ.ขวัญ เน้นย้ำว่าการผลักดันเรื่องสิทธิของผู้พิการจำเป็นต้องเริ่มจากการสร้างความเข้าใจให้กับผู้คนในสังคม เราต้องให้ความรู้และรณรงค์ (advocate) มากกว่านี้ เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ว่า ในขณะที่คนทั่วไปมีทางเลือกในการดำเนินชีวิต ผู้พิการกลับไม่ได้มีทางเลือกเหล่านั้นเสมอไป การสร้างความเข้าใจนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การให้ข้อมูล แต่ยังเป็นการปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจและกระตุ้นให้สังคมยอมรับผู้พิการอย่างแท้จริง
แม้ว่าสังคมอาจรับรู้ถึงปัญหาแล้ว แต่การสร้างการยอมรับยังคงเป็นสิ่งที่ต้องผลักดันต่อไป สุดท้ายแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องอาศัยทั้งความเข้าใจ การตระหนักรู้ และการยอมรับ เมื่อทุกฝ่ายเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง ผู้ออกแบบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะสามารถสร้างสิ่งที่ตอบโจทย์การใช้งานของทุกคนได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับความพิการอยู่มาก และการที่ผู้พิการถูกจำกัดให้อยู่ในระบบการศึกษาเฉพาะทาง อาจยิ่งทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไป ซึ่งส่งผลต่อทัศนคติของสังคมโดยรวม งานวิจัยบางชิ้นระบุว่า การมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนใดกลุ่มหนึ่งโดยตรง สามารถเสริมสร้าง empathy และทัศนคติที่เป็นบวกต่อบุคคลในกลุ่มนั้น แต่ในทางกลับกัน หากต้องอยู่ร่วมกันโดยปราศจากความเข้าใจ อาจนำไปสู่ความรู้สึกด้านลบ ดังนั้น การที่ผู้พิการถูกแยกออกจากสังคม อาจยิ่งทำให้เกิดระยะห่างและลดโอกาสในการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน
การจัดการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สัมผัสวิถีชีวิตของผู้พิการ
อ.ขวัญ ได้เล่าประสบการณ์การจัดกิจกรรมในชั้นเรียน โดยให้นักศึกษาทดลองนั่งรถเข็นไปยังห้องสมุด นักศึกษาหลายคนเลือกใช้เส้นทางที่คุ้นเคย แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าไม่มีทางลาดรองรับรถเข็น ทำให้ต้องอ้อมไปใช้เส้นทางอื่นที่ไกลกว่าและไม่สะดวก สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตระหนักว่า บางครั้งเราคุ้นชินกับสิ่งที่สะดวกสำหรับเราโดยไม่เคยคิดว่ามันอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้อื่น
อ.ขวัญ เล่าต่อว่า ก่อนที่ตนเองจะมาศึกษาด้าน Special Education ก็ไม่เคยนึกถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ทางเท้าที่ดีควรเป็นอย่างไร หรือทางขึ้น-ลงถนนที่เหมาะสมสำหรับผู้พิการควรออกแบบอย่างไร จนกระทั่งได้เรียนและมีคนชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาจริง ๆ การจัดกิจกรรมให้นักศึกษาได้ลองใช้ชีวิตแบบผู้พิการจึงเป็นโอกาสที่ทำให้พวกเขาเข้าใจความยากลำบากของการเดินทาง เช่น การขึ้นลงอาคารบางแห่งที่ไม่เอื้อต่อการใช้รถเข็น
แม้ว่าตอนทำกิจกรรมจะมีความกังวลว่าคนภายนอกอาจมองว่าเป็นการล้อเลียนผู้พิการ แต่แท้จริงแล้ว จุดมุ่งหมายของกิจกรรมคือการให้ผู้เรียนได้สัมผัสประสบการณ์ตรง เพราะ empathy ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากเพียงแค่การรับฟังหรืออ่านข้อมูล แต่เกิดขึ้นเมื่อเราได้ลองเผชิญกับสถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง
สุดท้ายนี้ การออกแบบพื้นที่ให้รองรับการใช้งานของทุกคนไม่ใช่เพียงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของแนวคิดและทัศนคติของสังคม การสร้างความเข้าใจ การตระหนักรู้ และการยอมรับคือกุญแจสำคัญในการทำให้การออกแบบพื้นที่การเรียนรู้และพื้นที่สาธารณะตอบโจทย์การใช้งานของผู้พิการและทุกคนในสังคมอย่างแท้จริง
เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค