ความหลากหลายทางชีวภาพที่หล่อเลี้ยงชีวิตและการเรียนรู้
เมื่อเราพูดถึง “ธรรมชาติ” หลายคนอาจนึกถึงภาพป่าเขียวขจี ลำธารใส หรือท้องฟ้าเปิดกว้าง แต่แท้จริงแล้ว ธรรมชาติคือเครือข่ายของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่เกื้อหนุนกันอย่างซับซ้อนและเปราะบาง หนึ่งในหัวใจสำคัญของระบบนี้คือ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” ซึ่งหมายถึงการมีอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด ทั้งพืช สัตว์ จุลินทรีย์ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในระบบนิเวศที่เชื่อมโยงถึงกัน แม้บางสิ่งจะเล็กจนมองไม่เห็น แต่ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อความสมดุลของโลกและการดำรงชีวิตของมนุษย์
ในโลกที่เผชิญกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความหลากหลายทางชีวภาพกับการดำรงอยู่ของมนุษย์จึงกลายเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งในแง่ของอาหาร ยารักษาโรค ความมั่นคงทางทรัพยากร หรือแม้แต่คุณภาพชีวิตในแต่ละวัน
บทความนี้ LSEd Let’s Talk ชวนทุกคนย้อนมองและตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์นั้น ผ่านบทสนทนากับ ผศ.ดร.นฤพจน์ พุธวัฒนะ หรือ อ.โหนด อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้สนใจในประเด็นการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในมุมมองใหม่ที่เชื่อมโยงความเข้าใจเรื่องธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะบทบาทของการศึกษาในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งและยั่งยืนในระยะยาว
“จริง ๆ แล้ว สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างพึ่งพาอาศัยกัน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ดำรงอยู่โดยลำพังได้” อ.โหนด กล่าวพร้อมอธิบายต่อว่า หากเรามองเข้าไปในระบบนิเวศ จะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมต่างสร้างสายใยความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น พืช สัตว์ จุลินทรีย์ ล้วนมีบทบาทของตนเอง และร่วมกันรักษาสมดุลของธรรมชาติไว้
ตัวอย่างง่าย ๆ ที่เห็นได้ในธรรมชาติ คือ แสงอาทิตย์ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลัก ก็ถูกดึงมาใช้โดยต้นไม้ ต้นไม้เหล่านี้ก็เป็นทั้งอาหารและแหล่งอยู่อาศัยของสัตว์ต่าง ๆ เช่น นกที่อาศัยต้นไม้เป็นแหล่งพักพิงและวางไข่ นกบางชนิดเมื่อกินผลไม้แล้วขับถ่ายออกมาก็ช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์ ทำให้พืชสามารถแพร่กระจายไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ได้ อีกทั้งมูลของนกยังกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้เติบโตต่อไป นี่คือตัวอย่างของการเกื้อกูลกันระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงโครงข่ายความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในธรรมชาติ
เมื่อเราศึกษาหน้าที่ของสัตว์ในระบบนิเวศ จะพบว่าสัตว์เหล่านี้ไม่เพียงมีบทบาทในการพึ่งพากันเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการรักษาดุลยภาพของระบบนิเวศ เช่น หากต้นไม้ในป่าถูกทำลาย สิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ก็จะสูญเสียถิ่นที่อยู่ ส่งผลให้จำนวนลดลง และกระทบต่อสายใยของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เป็นลูกโซ่ ซึ่งในที่สุดอาจย้อนกลับมากระทบต่อมนุษย์เอง
มนุษย์ในฐานะผู้บริโภคลำดับบนของห่วงโซ่อาหาร ล้วนพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในหลากหลายมิติ ประโยชน์ทางตรงที่เห็นได้ชัดคือแหล่งอาหาร ทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีน แคลเซียม และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของมนุษย์ รวมถึงแหล่งของยา เช่น ยาปฏิชีวนะที่เรานำมาใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อ ซึ่งในความเป็นจริงก็มาจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างเชื้อราในธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าความหลากหลายทางชีวภาพคือคลังทรัพยากรอันทรงคุณค่าสำหรับมนุษย์
นอกจากนี้ ยังมีบทบาททางอ้อมในการควบคุมโรคระบาด เช่น สัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำบางชนิดมีหน้าที่ควบคุมประชากรแมลงซึ่งอาจเป็นพาหะนำโรค หากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ลดลง จะทำให้ประชากรแมลงเพิ่มขึ้นจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ รวมถึงพืชผลทางการเกษตร
ดังนั้น ความหลากหลายทางชีวภาพจึงมีความสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่เพียงแต่ในแง่การเป็นแหล่งอาหารและยาสำหรับมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการรักษาสมดุลของธรรมชาติ ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของชีวิตมนุษย์ในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมกับความเปราะบางของความหลากหลายทางชีวภาพ
อ.โหนด กล่าวว่า ปัจจุบันวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่เราสัมผัสได้ชัดเจนที่สุดคือ ภาวะโลกร้อน (Climate change) เราเริ่มเห็นฤดูกาลที่แปรปรวน และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้โลกอุ่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนปรากฏให้เห็นในหลายมิติ เช่น การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก การเพิ่มสูงของระดับน้ำทะเล และปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งในบางพื้นที่ที่เคยเป็นชุมชนที่อยู่อาศัย ก็กลายเป็นพื้นที่น้ำท่วมถาวร เช่น เสาหลักเขตกรุงเทพที่ไปโผล่กลางทะเลบางขุนเทียน ซึ่งเมื่อก่อนพื้นที่ตรงนี้ก็เป็นพื้นที่ใช้สอย แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงเสาเดี่ยว ๆ ที่อยู่กลางทะเล สิ่งนี้จึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง
เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง สัตว์และพืชจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเฉพาะเจาะจงก็ได้รับผลกระทบ เช่น บางชนิดต้องการอุณหภูมิ ความเป็นกรด-ด่าง หรือระดับความเค็มของดินและน้ำที่เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำทะเลที่รุกล้ำเข้าสู่พื้นที่บนบก ทำให้พืชบางชนิดที่ไม่ทนต่อความเค็มเริ่มหายไป และนั่นหมายถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่ค่อย ๆ ลดลงตามไปด้วย
เมื่อสิ่งมีชีวิตบางชนิดเริ่มสูญพันธุ์หรือหายไปจากระบบนิเวศ ผลกระทบจะไม่จบแค่สิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เท่านั้น แต่จะส่งผลต่อทั้งห่วงโซ่อาหาร ยกตัวอย่างเช่น แพลงก์ตอนพืชในทะเลที่เป็นอาหารสำคัญของสัตว์ทะเล หากเกิดการสูญเสียเนื่องจากมลภาวะหรืออุณหภูมิที่เปลี่ยนไป สัตว์ทะเลที่กินแพลงก์ตอนก็จะขาดอาหาร และท้ายที่สุดก็สะเทือนมาถึงมนุษย์ เพราะเราพึ่งพิงระบบนิเวศทางทะเลเป็นแหล่งอาหารหลัก
ดังนั้น ความหลากหลายทางชีวภาพจึงเชื่อมโยงกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมอย่างลึกซึ้ง เมื่อสิ่งแวดล้อมไม่สมดุล ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตก็ถูกกระทบ และเมื่อนั้นทั้งแหล่งอาหาร ยา และเสถียรภาพของระบบนิเวศที่มนุษย์อาศัยอยู่ก็จะเริ่มสั่นคลอนไปพร้อมกัน
เมื่อการเรียนรู้ขาดความเชื่อมโยงจนนำมาสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
อ.โหนด ให้ข้อสังเกตว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ มาจากระบบการศึกษาที่ไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดอย่างเป็นระบบ หรือเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ ทำให้ผู้คนจำนวนมากมองว่าเรื่องธรรมชาติเป็นเรื่องไกลตัว ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของตนเอง
“เรามักไม่ได้มองว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลกธรรมชาติ แต่กลับมองว่าเราเป็นเจ้าของโลก เป็นเผ่าพันธุ์ที่แยกขาดจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ” อ.โหนดกล่าว พร้อมชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มักไม่เห็นความสำคัญของสิ่งมีชีวิตอื่น ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ เชื้อรา แบคทีเรีย หรือแม้แต่ต้นข้าว ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ล้วนมีบทบาทและความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับมนุษย์อย่างลึกซึ้ง แม้ดูเหมือนไกลตัว แต่ท้ายที่สุดก็อาจส่งผลกลับมาสู่เราทางใดทางหนึ่ง
ปัญหานี้ยังสะท้อนในวิธีการเรียนการสอน โดยเฉพาะในวิชาวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ที่มักเน้นการจดจำมากกว่าการวิเคราะห์ เช่น การเรียนรู้เรื่องห่วงโซ่อาหาร มักจำแค่ลำดับของผู้ผลิตและผู้บริโภค แต่ไม่ได้นำไปสู่การวิเคราะห์เชิงระบบว่า หากสิ่งมีชีวิตหนึ่งหายไป จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่หรือระบบนิเวศอย่างไร
“เราไม่ถูกสอนให้คิดต่อ ไม่ได้ถูกฝึกให้เห็นผลกระทบเชิงระบบ เช่น เมื่อมีการปนเปื้อนสารเคมีในพื้นที่ห่างไกล เราอาจมองว่าไม่ใช่เรื่องของเรา ทั้งที่ในความเป็นจริง ข้าวหรือผลไม้จากพื้นที่นั้นอาจเดินทางมาถึงจานข้าวของเราโดยไม่รู้ตัว” อ.โหนด ย้ำถึงความสำคัญของการมองอย่างเชื่อมโยง
การเรียนรู้จากธรรมชาติเพื่อออกแบบทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
อ.โหนด เล่าว่า หนึ่งในงานสอนที่กำลังพัฒนาคือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แนว สะเต็มศึกษา (STEM Education) ที่เน้นการเชื่อมโยงความซับซ้อนของธรรมชาติเข้ากับการเรียนรู้และการแก้ปัญหาของมนุษย์ โดยเฉพาะการนำนวัตกรรมจากธรรมชาติหรือแนวคิดด้าน biomimicry หรือการเลียนแบบธรรมชาติ มาใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
แนวคิดสำคัญคือ การชวนผู้เรียนสังเกตและศึกษากลไกการปรับตัวของธรรมชาติ เช่น การรักษาสมดุล การฟื้นฟู หรือการตอบสนองต่อปัญหา และดึงแนวคิดเหล่านั้นมาสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือหาทางออกให้กับปัญหาที่มนุษย์เผชิญอยู่ในชีวิตจริง โดยเน้นให้ผู้เรียนเห็นความงดงามและความชาญฉลาดของธรรมชาติในการจัดการกับสภาพแวดล้อมของตนเอง
ตัวอย่างหนึ่งของกิจกรรมในห้องเรียน คือการชวนผู้เรียนไปสำรวจแหล่งน้ำธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น คูคลองหรือบ่อน้ำ แล้วสังเกตปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความขุ่น ปริมาณออกซิเจน สิ่งมีชีวิตที่พบ และของเสียในน้ำ จากนั้นจึงชวนให้ผู้เรียนวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำนั้น และนำองค์ความรู้ที่ได้มาคิดต่อยอด เช่น การออกแบบตู้ปลาหรือระบบนิเวศจำลองที่สามารถเลี้ยงปลาและให้ผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในกระบวนการนี้ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ว่าระบบนิเวศที่ดีต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง เช่น แหล่งออกซิเจน ต้นไม้ แสง อุณหภูมิที่เหมาะสม และเรียนรู้การนำความรู้ทางชีววิทยามาใช้แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาเท่านั้น แต่ยังปลูกฝังความตระหนักรู้ ความซาบซึ้งในธรรมชาติ และเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในเชิงระบบอีกด้วย
ปลูกฝังความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
อ.โหนดสะท้อนว่า การอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลกับธรรมชาติไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเป็นเพียงแนวคิดทางสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ควรเป็น Common sense หรือสามัญสำนึกพื้นฐานที่เราทุกคนควรมีตั้งแต่ยังเล็ก โดยเฉพาะในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาติ ไม่ใช่ผู้ควบคุมหรือเจ้าของทรัพยากรทั้งหมด
แนวคิดนี้ควรถูกปลูกฝังตั้งแต่ในครอบครัว ไปจนถึงระบบการศึกษา ทั้งในห้องเรียนและกิจกรรมนอกหลักสูตร ไม่ใช่เพียงแค่การสอนเนื้อหาเชิงวิชาการ แต่ต้องเป็นการสอดแทรกอย่างเป็นระบบ จนเกิดเป็นมุมมองใหม่ที่ค่อย ๆ หล่อหลอมและซึมซับอยู่ในความคิดและจิตใจของผู้เรียน
สุดท้ายนี้ อาจารย์เชื่อว่า หากเราสามารถปลูกฝังวิธีคิดนี้ได้อย่างลึกซึ้ง จะไม่เพียงส่งผลดีต่อธรรมชาติเท่านั้น แต่จะย้อนกลับมาส่งผลดีต่อมนุษยชาติด้วย เพราะเมื่อเราตระหนักว่าเราคือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในห่วงโซ่ของระบบนิเวศเดียวกัน ความเข้าใจนี้จะนำไปสู่พฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบ เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค