Loading...

เมื่อเรื่องเพศไม่ใช่แค่เรื่องของใครบางคน: มุมมองจากคนรักต่างเพศ (straight) ในประเด็นความหลากหลายทางเพศ

        ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังคมไทยเริ่มพูดถึง “ความหลากหลายทางเพศ” มากขึ้น ทั้งในระดับพื้นที่ส่วนตัว พื้นที่สื่อ ไปจนถึงพื้นที่นโยบายสาธารณะ หลายคนอาจมองว่าการยอมรับความหลากหลายทางเพศ คือ ปลายทางของความก้าวหน้าทางสิทธิมนุษยชน แต่ความจริงแล้ว ประเด็นนี้ยังคงมีความซับซ้อนมากกว่านั้น เพราะการพูดถึงความหลากหลายทางเพศ ไม่ได้สะท้อนแค่เรื่องของเพศเท่านั้น หากยังชวนให้เราตั้งคำถามต่อ“ความปกติ” ที่เคยถูกนิยามโดยคนกลุ่มหนึ่ง และมองเห็นความหลากหลายอื่น ๆ ที่ดำรงอยู่ในสังคมไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาติพันธุ์ ชนชั้น อายุ หรือศาสนา

        LSEd Let’s Talk ชวนคุยกับ ผศ.ดร.กิตติ คงตุก หรือ อ.เต้ย อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะ “คนรักต่างเพศ” ที่เชื่อว่าเรื่องความหลากหลายทางเพศไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ “ความเป็นมนุษย์” ที่เราทุกคนควรเข้าใจ ร่วมเรียนรู้ และมีส่วนในการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะในระดับห้องเรียน มหาวิทยาลัย หรือสังคมในภาพรวม

        อ.เต้ย กล่าวว่า ความแตกต่างหลากหลายนั้นเป็นธรรมชาติที่ดำรงอยู่คู่กับมนุษย์เสมอมา เพียงแต่อาจไม่ได้ถูกมองเห็นหรือพูดถึงอย่างชัดเจนเท่าปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องของความหลากหลายทางเพศ ซึ่งส่วนตัวมองว่าสังคมไทยในตอนนี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก เราเริ่มเห็นภาพของความหลากหลายได้ชัดเจนขึ้น ไม่ใช่แค่ในเรื่องเพศสภาพเท่านั้น แต่รวมถึงความคิด ความเชื่อ และรสนิยมต่าง ๆ ที่เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น

        ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาต่อสู้อย่างยาวนาน หลายประเด็นเคยถูกมองข้าม หรือแม้จะถูกรับรู้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนัก แต่ทุกวันนี้สังคมเริ่มประกาศชัดเจนว่า เรื่องเหล่านี้มีความสำคัญมากพอที่ต้องได้รับความเสมอภาคในทางกฎหมาย เราจึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สิทธิต่าง ๆ เปิดกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับบุตรบุญธรรม การฟ้องหย่า หรือการจัดการสินสมรส ที่ในอดีตจำกัดไว้เฉพาะ “ชาย” และ “หญิง” เท่านั้น แต่ปัจจุบันกำลังเคลื่อนไปสู่ความเท่าเทียมสำหรับทุกเพศ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นของเพศสภาพที่หลุดออกจากกรอบชาย-หญิงแบบเดิม หลายคนอาจไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นชายหรือหญิงตามขนบ แต่กลับถูกระบบกฎหมายหรือกรอบทางสังคมกำหนดให้เลือก ซึ่งเป็นสิ่งที่กีดกันตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาออกไป

ข้อจำกัดหรืออุปสรรคในประเด็นความหลากหลายทางเพศ

        อ.เต้ย มองว่า แม้สังคมไทยจะก้าวหน้าเรื่องความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในระดับ “จิตใต้สำนึก” ของผู้คน ซึ่งเกิดจากการอบรมเลี้ยงดู การขัดเกลา และการหล่อหลอมทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษา กฎหมาย วิทยาศาสตร์ ศาสนา หรือค่านิยมดั้งเดิม ที่กำหนดกรอบว่าอะไร “ถูกหรือผิด”  “ปกติหรือไม่ปกติ”

         สิ่งเหล่านี้ทำให้แต่ละคนมีมุมมองต่อความหลากหลายแตกต่างกัน บางคนอาจเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา บางคนกลับมองว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรม ซึ่งสะท้อนวิธีคิดและวัฒนธรรมที่แต่ละคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน

        อย่างไรก็ตาม อ.เต้ย เชื่อว่า วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับสำนึกเรื่องเพศแบบเดิมที่ครอบงำสังคมมายาวนาน หากถูกท้าทายจากผู้คนที่มีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  กระทั่งไม่สามารถปรับตัวตามกาลเวลาได้ การรู้คิดรูปแบบใหม่ก็จะอุบัติขึ้นมาแทน อาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงก็สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ต้องใช้เวลา โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงในระดับความรู้สึกนึกคิดของผู้คน

เมื่อมุมมองส่วนบุคคลสะท้อนภาพสังคมโดยรวม

        อ.เต้ย มองว่า การที่บางคนคิดว่าความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องของ “คนกลุ่มหนึ่ง” ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมันสะท้อนมุมมองของแต่ละบุคคล แต่สิ่งสำคัญคือ การตระหนักว่า มุมมองเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าสังคมเรากำลัง “ตื่นรู้” มากขึ้นแค่ไหน

        แม้คนส่วนใหญ่จะไม่ได้อยู่ในกลุ่ม LGBTQ+ แต่การได้เห็นการเคลื่อนไหวหรือประเด็นเหล่านี้ ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึง “คุณค่าของความเป็นมนุษย์” ที่ไม่ควรถูกแบ่งแยกด้วยเพศ เชื้อชาติ หรืออัตลักษณ์ใด ๆ เพราะความเสมอภาคไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

        ในความเป็นจริง การเคลื่อนไหวของกลุ่ม LGBTQ+ ได้จุดประกายให้เรามองเห็นประเด็นที่ลึกและกว้างขึ้น เช่น เรื่องชาติพันธุ์ ความชรา การเหยียดผิว หรือความเหลื่อมล้ำในรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งล้วนมีรากอยู่ที่แนวคิดเดียวกัน คือเรื่องของ “ความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์”

        ดังนั้น ความหลากหลายทางเพศจึงไม่ใช่เพียงเรื่องเฉพาะกลุ่ม แต่คือกระจกที่สะท้อนให้ทั้งสังคมหันกลับมาทบทวนว่า เราให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันจริงหรือไม่

จาก “ผู้ไม่เกี่ยวข้อง” สู่ผู้มีส่วนร่วมในความเปลี่ยนแปลง

        อ.เต้ย ให้ข้อคิดเห็นว่า ความรู้สึก “ไม่เกี่ยวข้อง” กับประเด็นเรื่องเพศและอัตลักษณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะเมื่อใดที่เรารู้สึกว่าตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเด็นขบคิดเกี่ยวกับเรื่องความเป็นธรรมทางสังคม นั่นคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ “เป็นเรื่องปกติ” ที่สามารถยอมรับได้ หรือ “ไม่ใช่เรื่องของเรา” ทั้งที่ในความเป็นจริง เรื่องของความเสมอภาคในฐานะมนุษย์คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดที่ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่ง ไม่ว่าจะในฐานะผู้ได้รับผลกระทบ ผู้ได้ประโยชน์ หรือผู้ที่มีส่วนในการสร้างความเปลี่ยนแปลง

        ในฐานะอาจารย์ อ.เต้ย เห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่ควรเป็นแค่พื้นที่ของการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ต้องเป็นพื้นที่ที่ แสดงให้เห็นว่าความหลากหลายคือธรรมชาติของมนุษย์ ผ่านการออกแบบชีวิตประจำวันของนักศึกษาที่อยู่ในบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แค่แนวคิดที่ลอยอยู่บนหน้ากระดาษ อย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เอง เราจะเห็นว่า แม้แต่เรื่องของการแต่งกาย เสรีภาพในการแสดงความเห็น หรือการสร้างข้อตกลงร่วมกันในห้องเรียน เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่สะท้อนถึงแนวทางการเรียนรู้อยู่ร่วมที่ให้ความสำคัญกับสิทธิ และความหลากหลาย ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงควรเป็นพื้นที่ที่ช่วยบ่มเพาะจิตสำนึกให้นักศึกษาได้รู้ว่าตนมีความชอบธรรมในการกำหนดชีวิตตนเอง ซึ่งล้วนส่งผลต่อความเป็นไปของสังคมในระดับกว้างออกไปไม่รู้จบ

        ในอีกด้านหนึ่ง มหาวิทยาลัยคือแหล่งผลิตองค์ความรู้ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนอุดมการณ์ความเชื่อของสังคม อ.เต้ยเชื่อว่า การสื่อสารเรื่องเพศและอัตลักษณ์ทางเพศในระดับวิชาการ ควรตั้งอยู่บนฐานของความเข้าใจที่รอบด้าน ไม่ใช่เพียงเพื่อสนับสนุนคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องตั้งคำถามกลับไปยังโครงสร้างของอำนาจด้วยว่า ใครคือผู้กำหนดความรู้/ความจริง ใครคือผู้ได้/เสียผลประโยชน์ ใครถูกมองไม่เห็น/หลงลืม และสังคมจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางใดจึงจะเหมาะสมที่สุด

การพูดเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ คือ การเข้าใจความเป็นมนุษย์

        อ.เต้ย เล่าย้อนประสบการณ์ของตนในฐานะชายวัยกลางคนที่เติบโตมากับยุคสมัยที่มุมมองต่ออัตลักษณ์ทางเพศยังถูกจำกัดว่าเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม ในอดีต การหยอกล้อ ล้อเลียน หรือบูลลี่เพื่อนด้วยเรื่องเพศ มักถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ในความเป็นจริงเป็นสิ่งที่สะท้อนอคติของคนหมู่มาก และทำให้คนบางกลุ่มต้องอยู่ในความรู้สึกผิดปกติ

        เมื่อมองย้อนกลับ อ.เต้ย เชื่อว่าเราไม่ควรปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการตั้งคำถาม เพราะสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เช่น รุ่นลูกของตน เริ่มมองเห็นและตั้งคำถามต่อเรื่องเพศสภาพ การแต่งงาน สิทธิ และความเท่าเทียมอย่างเปิดกว้างมากขึ้น สิ่งนี้ทำให้เห็นชัดว่า เรื่องอัตลักษณ์ทางเพศไม่ใช่เรื่องเฉพาะช่วงเวลา เช่น Pride Month แต่เป็นเรื่องของ “ความเป็นมนุษย์” ที่ทุกสังคมควรให้ความสำคัญ

        แม้ในอดีตความเข้าใจเรื่องความหลากหลายอาจยังจำกัด แต่วิถีของโลกที่เปลี่ยนไปทำให้เรามีโอกาสเปิดใจและเรียนรู้ความหมายของ “การอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง” มากยิ่งขึ้น และนั่นคือเหตุผลว่า ทำไมเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศจึงควรเป็นเรื่องที่พูดถึงอย่างต่อเนื่องในสังคม ไม่ใช่เพียงเพื่อการยอมรับ แต่เพื่อเข้าใจแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ร่วมกัน

เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค

บทความนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์