Pride Month ในปี 2025: จากขบวนพาเหรดสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวเพื่อความหลากหลายทางเพศในสังคมไทยได้ขยายตัวอย่างกว้างขวาง ทั้งในเชิงสัญลักษณ์ เช่น การจัดขบวนพาเหรด Pride ที่ปรากฏในหลายสิบจังหวัดทั่วประเทศ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและกฎหมาย เช่น การผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในรัฐสภา แต่ในขณะเดียวกัน Pride Month ก็ยังชวนให้เราทบทวนว่า เบื้องหลังสีรุ้งอันฉูดฉาดนั้น ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องผลักดันต่อ และยังมีอีกหลายเสียงที่สังคมอาจยังไม่ได้รับฟังเท่าที่ควร
ในบทความนี้ LSEd Let’s Talk ชวนวิเคราะห์ประเด็นภาพรวมของ Pride Month ผ่านบทสัมภาษณ์จาก Dr.Timo Tapani Ojanen หรือ อ.Timo อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ทำงานขับเคลื่อนประเด็นความหลากหลายทางเพศมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฐานะนักวิชาการ และนักเคลื่อนไหว หนึ่งในงานวิจัยสำคัญของอาจารย์ คือ “สุขภาพจิตและสุขภาวะของเด็กและเยาวชนหลากหลายทางเพศในประเทศไทย” ที่เผยแพร่เมื่อปี 2566 นอกจากนี้ อาจารย์ยังสนับสนุนงานการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ ผ่านการเป็นที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ (FOR-SOGI) ที่ได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้กฎหมายสมรสเท่าเทียมเกิดขึ้น
Pride Month มีความหมายหรือความสำคัญอย่างไรต่อสังคมไทยในปัจจุบัน?
ในมุมมองของ อ. Timo มองว่า Pride Month มีความหมายสำคัญต่อสังคมไทยในฐานะพื้นที่ของการทบทวนและการมองย้อนกลับไปว่าสังคมไทยได้เดินทางมาไกลแค่ไหนในเรื่องของความหลากหลายทางเพศ กิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะการเสวนาที่จัดขึ้นในช่วงเดือนนี้ ช่วยเปิดโอกาสให้เราได้มองเห็นว่า อะไรบ้างที่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และอะไรยังคงเป็นปัญหาที่ต้องร่วมกันทำงานต่อไป
อาจารย์ยังสะท้อนว่า กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์อย่างขบวน Pride ก็เป็นการสื่อสารที่ทรงพลัง เพราะแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยมีผู้คนจำนวนมากที่พร้อมจะยอมรับและเข้าใจความหลากหลายทางเพศ แม้ระดับของความเข้าใจและการยอมรับอาจแตกต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญคือ การที่กิจกรรมเหล่านี้เปิดพื้นที่ให้คนที่อาจยังอยู่ในบริบทที่ต่อต้านความหลากหลาย ได้เห็นว่าสังคมไทยนั้นมี “พื้นที่แห่งการยอมรับ” อยู่จริง
อาจารย์เล่าย้อนถึงประสบการณ์จากการทำงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนหลากหลายทางเพศ เยาวชนหลายคนที่ให้สัมภาษณ์มาจากต่างจังหวัด พวกเขามองว่าอนาคตที่สดใสของตนจะเริ่มต้นจากการ “ย้ายไปอยู่ที่ที่ยอมรับเขามากกว่าเดิม” ซึ่งเป็นความจริงที่น่าเศร้า แต่ในอีกแง่หนึ่งอย่างน้อยเขายังมีความหวังว่าจะสามารถสร้างชีวิตที่ดีขึ้นให้กับตัวเองได้ และในปัจจุบัน ความหวังนี้อาจไม่ต้องหมายถึงการย้ายไปไกลอีกต่อไป เพราะกิจกรรม Pride Month จัดขึ้นแล้วในอย่างน้อย 20-30 จังหวัดทั่วประเทศ
นอกจากการเฉลิมฉลองแล้ว อ.Timo ยังมองว่า Pride Month ยังมีพลังในการท้าทายคนที่ยังไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ การได้เห็นผู้คนจำนวนมากออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุน อาจทำให้ใครบางคนเริ่มตั้งคำถามกับมุมมองของตนเองว่า “การที่ฉันยังไม่ยอมรับสิ่งนี้ มันยังสมเหตุสมผลอยู่ไหม?”
และแม้ว่าอาจยังมีคนที่ไม่ยอมรับอยู่ แต่กิจกรรมเหล่านี้ก็อาจช่วยขยับ “บรรทัดฐานของสังคม” ให้การแสดงออกเชิงเกลียดชังหรือการต่อต้านความหลากหลายทางเพศกลายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมไทยอีกต่อไป หรือถ้าเกลียดก็อาจต้องเกลียดเงียบ ๆ ซึ่งแม้จะไม่ใช่จุดหมายสูงสุด แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี อ.Timo ทิ้งท้ายด้วยความหวังว่า วันหนึ่ง คนที่ยังไม่เข้าใจจะเริ่มเปิดใจมากขึ้น ไม่ใช่เพียงเพราะกลัวการถูกประณามจากสังคม แต่เพราะพวกเขาได้เห็น ได้ฟัง และได้เข้าใจมากขึ้นจริง ๆ
จากพื้นที่เฉพาะทางสู่การยอมรับที่ขยายตัว
อ.Timo มองว่า ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา พื้นที่ที่คนหลากหลายทางเพศสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเปิดเผยในสังคมไทยมีการขยายตัวกว้างขวางมากขึ้น แน่นอนว่า ในบางบริบท เช่น ร้านเสริมสวย การประกวดนางงามสาวประเภทสอง หรือการแสดงนางโชว์ในสถานบันเทิงและงานวัด บริบทเหล่านี้มีการยอมรับในตัวตนพวกเขามานานแล้ว คนไทยส่วนใหญ่มักไม่แสดงท่าทีต่อต้านความหลากหลายทางเพศในบริบทเหล่านี้ แม้แต่เมื่อหลายสิบปีก่อนก็ตาม แต่เมื่อมองไปยังพื้นที่ชีวิตประจำวันที่ลึกซึ้งมากขึ้น เช่น การเปิดเผยตัวตนต่อหน้าพ่อแม่ เพื่อนร่วมงาน หรือในที่ทำงาน สิ่งเหล่านี้ในอดีตกลับเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายอย่างมากสำหรับหลายคน เช่นเดียวกับในแวดวงวิชาการ การทำงานหรือศึกษาเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศในอดีต ก็มักถูกจำกัดอยู่ในกรอบของการ “แก้ไขหรือป้องกันความเบี่ยงเบน” ตามแนวคิดที่แพร่หลายในยุค 1990 ไม่เพียงเท่านั้น อาจารย์ยังชี้ให้เห็นว่า การพูดถึงสิทธิของกลุ่มความหลากหลายทางเพศในเวทีการเมือง โดยไม่ถูกมองว่าผู้พูดต้องเป็นคนหลากหลายทางเพศเสียเอง จึงจะมีสิทธิลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้ ก็เคยเป็นเรื่องที่ยากมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ทั้งจาก การเติบโตของงานวิชาการด้านความหลากหลายทางเพศ และ การผลักดันเชิงนโยบาย เช่น การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมในรัฐสภา สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ของการยอมรับในสังคมไทยได้ขยายตัวกว้างขึ้นอย่างมาก และไม่จำกัดอยู่เพียงบริบทเฉพาะทางอีกต่อไป
เมื่อความหลากหลายยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด
อ.Timo สะท้อนว่า แม้ปัจจุบันกิจกรรมเสวนาและกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ในช่วง Pride Month จะมีความหลากหลายมากขึ้น แต่ยังมีบางประเด็นสำคัญที่ยังไม่เข้าถึงคนจำนวนมาก หรือยังคงจำกัดอยู่ในวงสนทนาเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอัตลักษณ์ที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงในที่สาธารณะ
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคนที่เป็น intersex หรือผู้ที่มีอัตลักษณ์อื่น ๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง หรือประเด็นอัตลักษณ์หรือสถานภาพทับซ้อนบางอย่าง ประเด็นเหล่านี้แม้จะถูกพูดถึงบ้างในแวดวงแนวหน้า แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างการรับรู้ในระดับสังคมวงกว้างได้
อาจารย์ยังเน้นย้ำถึง ประเด็นของความหลากหลายทางเพศที่ทับซ้อนกับอัตลักษณ์อื่น ๆ เช่น ความเป็นคนพิการ คนกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้นับถือศาสนาคริสต์หรืออิสลามในไทย หรือแม้แต่ในนักบวชทางศาสนาพุทธ ซึ่งแต่ละกลุ่มล้วนมีประสบการณ์เฉพาะของการดำรงอยู่ท่ามกลางระบบคุณค่าทางสังคมที่ซับซ้อน และหลายครั้งก็ต้องเผชิญกับการมองไม่เห็นจากกระแสหลัก แม้ในช่วง Pride Month ก็ตาม
อ.Timo จึงเสนอว่า หากเราต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเด็นเหล่านี้ จำเป็นต้อง ค่อย ๆ ขยายวงสนทนา เปิดพื้นที่ให้ประเด็นที่เคยถูกละเลยได้มีโอกาสถูกพูดถึงมากขึ้น และกลายเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาหลักในสังคมไทย
เมื่อความหลากหลายยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด
ในมุมมองของ อ.Timo การเปลี่ยนแปลงเพื่อความหลากหลายทางเพศที่ดี ต้องเกิดขึ้นทั้งในระดับโครงสร้างของสังคมและในระดับความคิดของผู้คน นั่นคือ ไม่เพียงต้องมีกฎหมายที่เท่าเทียมและครอบคลุม แต่ยังต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงทัศนคติ การตระหนักรู้ ความเข้าใจ และการยอมรับจากคนในสังคมด้วย อย่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม การที่กฎหมายผ่านและบังคับใช้แล้ว แต่ทุกคนในสังคม ไม่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐ หรือประชาชนทั่วไป ก็ควรมองการสมรสของคู่รักทุกรูปแบบในฐานะที่เท่าเทียมกัน
เช่นเดียวกับกรณีของ กฎหมายรับรองเพศสภาพ (gender recognition law) ที่คนข้ามเพศกำลังเรียกร้องกันอยู่ หากกฎหมายนี้ผ่าน ก็จะเป็นการรับรองสิทธิตามอัตลักษณ์ทางเพศที่บุคคลรับรู้และมีอยู่จริง แต่หากสังคมยังมองว่าเพศของเขาไม่ใช่ของจริง การยอมรับก็อาจยังไม่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
หรือในกรณีของ Sex worker ก็เช่นกัน หากสามารถยกเลิกกฎหมายอาญาที่เอาผิดกับผู้ประกอบอาชีพนี้ได้ ก็จะเป็นการลดการคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การขอสินบนหรือการรีดไถ แต่ถ้าสังคมยังตีตราและดูแคลนคนทำงานในอาชีพนี้อยู่ ความเท่าเทียมก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง
แม้ในวันนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะผ่านแล้ว และถือเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเพื่อความหลากหลายทางเพศ แต่ยังมีกฎหมายสำคัญอื่น ๆ ที่ควรผลักดันต่อ เช่น กฎหมายรับรองเพศสภาพ และการยกเลิกบทลงโทษเกี่ยวกับ Sex worker ดังนั้น ประเด็นเหล่านี้ก็อาจเป็นความเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายลำดับต่อไปที่จะทำให้ชีวิตของคนหลากหลายทางเพศหลายคนดีขึ้น ควบคู่ไปกับการทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้คน เพื่อให้ Pride ไม่จบแค่เดือนเดียว แต่กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกและยั่งยืนในทุกมิติของชีวิต
เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค
บทความนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์