สรุปประเด็นสำคัญจาก Forum “แต่ละมื้อ แต่ละ day” ในวันที่ฉันไม่เข้าใจเพศของลูก วงสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับลูกหลาน ที่ต่างเติบโตมาในช่วงเวลาที่ความหมายของ “เพศ” ไม่เหมือนเดิม
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ Bangkok Pride 2025 เปิดวงเสวนาพูดคุยในประเด็นเรื่อง “ความหลากหลายทางเพศ” ในธีม “เกิด แก่ เจ็บ โต” Caring for Every Way of Being ณ LIDO CONNECT (HALL 3) ดำเนินการโดยคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยความร่วมมือกับ Bangkok Pride และการสนับสนุนจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
การเสวนาใน Forum “แต่ละมื้อ แต่ละ day” ในวันที่ฉันไม่เข้าใจเพศของลูก เป็นการนำเสนอประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับลูกหลาน ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายท่านจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และตัวแทนจากองค์กร Save the Children Thailand มาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ปกครองหรือผู้ที่สนใจได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศในประเด็นต่าง ๆ โดยมี คุณพีราณี ศุภลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก Save the Children Thailand ดร.ติโหมะ ตะปะหนิ โอะหยะเน็น อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ.ชุณพฤทธิ์กร จิรบวรกิจ อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผศ.ดร.นรุตม์ ศุภวรรษธนกุล อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รับหน้าที่เป็นพิธีกร ผู้ดำเนินวงเสวนา
ธีมในการสนทนาหลักใน Forum “แต่ละมื้อ แต่ละ day” ในวันที่ฉันไม่เข้าใจเพศของลูก มี 3 หัวข้อ ได้แก่ “สถานการณ์ปัจจุบัน” “อุปสรรคและความท้าทาย” และ “แนวทางในการลดความเสี่ยงและการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีเด็กหรือสมาชิกที่มีความหลากหลายทางเพศ” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิได้แสดงความคิดเห็นในแต่ละประเด็นไว้ ดังนี้
สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศในเด็กและเยาวชน
คุณพีราณี ศุภลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก Save the Children Thailand กล่าวไว้โดยสรุปว่า จากการสังเกตุการและร่วมทำงานใกล้ชิดกับโรงเรียน พบว่า กฎระเบียบเรื่องทรงผมและชุดนักเรียน ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแสดงออกถึงอัตลักษณ์และเพศสภาพของนักเรียนระดับประถมฯ และมัธยมศึกษา
“เด็กนักเรียนไม่สามารถไว้ทรงผมที่แสดงถึงอัตลักษณ์หรือเสริมความมั่นใจของตนเองได้”
แม้เด็กในระดับมหาวิทยาลัยจะมีการเปิดโอกาสมากขึ้นในเรื่องกฎระเบียบทรงผมและการแต่งกาย แต่เด็กในระดับประถมฯ และมัธยมศึกษายังมีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากการตัดสินใจเรื่องนโยบายส่วนใหญ่ต้องได้รับการยอมรับจากผู้ปกครอง แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังมีความกังวลว่า การยอมรับกับนโยบายดังกล่าวอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่
“ผู้ปกครองยังมีคอมเม้นว่า อยากเห็นเด็กยังคงเป็นเด็ก ไม่อยากเห็นเด็กโตเกินกว่าวัย”
ผู้ปกครองบางส่วนของเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ ยังคงไม่เห็นด้วยกับการที่ลูกแสดงออกทางเพศสภาพตามตัวตนที่แท้จริง โดยมักมีเงื่อนไขให้ลูกต้องเรียนจบก่อน หรือให้ลูกได้งานทำงาน หาเงินได้ก่อน จึงจะยอมรับได้ เนื่องจากหวังให้ลูกหลานได้แสดงความสามารถ ให้คนอื่นมาดูถูกไม่ได้
คำว่า “อย่าเพิ่ง รอให้เรียนจบก่อน” พ่อแม่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว มันคือการไม่อนุญาตให้เด็กแสดงออกตามตัวตน ของตัวเอง ซึ่งเป็นการจำกัดพื้นที่ที่ทำร้ายลูกหลานเหมือนกัน
บริบทที่มีความซับซ้อนในประเด็นทางศาสนา มีการพยายามใช้ความรุนแรงในการเปลี่ยนแปลงให้ลูกกลับมาแสดงออกเช่นเดียวกับเพศตามเพศกำเนิด
“มีการใช้ความรุนแรง เพื่อปรับให้เด็กมาเป็นเพศเดียวกันกับตอนเกิด มีการส่งเข้ารับฟังเรื่องศาสนา เพื่อสอนให้ สิ่งเหล่านั้นเป็นบาป ซึ่งเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่มีความไม่เข้าใจกันอยู่ ซึ่งบางทีลูกหลาน ก็ไม่ได้มีอำนาจมากพอในการอธิบายให้ผู้ปกครองฟัง”
ดร.ติโหมะ ตะปะหนิ โอะหยะเน็น อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า จากการวิจัยที่ได้สัมภาษณ์เด็กและเยาวชน LGBTQIA+ อายุ 15-24 ปี จำนวน 38 คน พบประสบการณ์เชิงลบที่ส่งผลกระทบที่ทำให้สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาด้านสุขภาพจิตของเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศหลัก ๆ 3 รูปแบบ ได้แก่ การบังคับในการแสดงออกทางเพศ การถูกเลือกปฏิบัติ และความรุนแรงทั้งทางกายและจิตใจ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้น จะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของประสบการณ์ที่เด็กแต่ละคนได้รับ
“การถูกบังคับในการแสดงออกทางเพศและการถูกเลือกปฏิบัติ ส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต วิตกกังวล และคิดพยายามฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตนเอง”
ผศ.ชุณพฤทธิ์กร จิรบวรกิจ อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอเพิ่มเติมว่า ครอบครัวชนชั้นกลางส่วนใหญ่คาดหวังให้ลูกทำอาชีพอะไรก็ได้ แต่ไม่ได้หมายถึงจะยอมรับเพศที่ลูกเป็นได้
“เขาจะบอกว่าลูกเป็นอะไรก็ได้ แต่เป็นอะไรก็ได้ หมายความว่า หน้าที่การงานจะเลือกเป็นอะไรก็ได้ แต่บางครั้ง เรื่องของเพศ อาจจะไม่ได้ยอมรับจริง ๆ”
หลายครั้งลูกหลานที่มีเพศหลากหลายไม่กล้าเปิดเผยเพราะกลัวพ่อแม่ไม่รัก ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ห่วงภาพลักษณ์ทางสังคมจนเกิดการหลบเลี่ยงการสื่อสารกัน
“จะมีประเภทที่ว่า ถ้าเพื่อน ๆ ลูกมีความหลากหลายทางเพศ ไม่เป็นไร เรา Happy ยินดี น่ารัก ก็จะรักด้วย แต่ถ้าวันหนึ่งเป็นลูกของตัวเอง กลับรู้สึกไม่ค่อยอยากจะยอมรับสักเท่าไหร่”
เนื่องจากเกิดความเข้าใจผิดกันเรื่องการยอมรับในตัวตนที่มีความหลากหลายทางเพศของลูก
“การยอมรับ คือ การพยายามทำความเข้าใจ ลูกไม่ได้เลือกเป็นเพศนั้น
เหมือนที่พ่อแม่ไม่ได้เลือกที่จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เช่นเดียวกัน เวลาลูกมีความรักบางทีมันเลือกไม่ได้ในการตกหลุมรักใครสักคน”
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของความคาดหวังที่ไม่ตรงกันของนิยามคำว่า ครอบครัวที่ดี
“หลายครอบครัวคาดหวังว่า ครอบครัวที่ดีคือครอบครัวที่ไม่มีปัญหา ต้องมีความสุขตลอด แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ … หลาย ๆ ครั้งครอบครัวที่ดีคือครอบครัวที่มีปัญหานี่แหละ แต่ว่าเรากล้าคุยเรื่องที่มันยาก ๆ กันได้”
ดังนั้น การสื่อสารคือหัวใจสำคัญในการเข้าใจซึ่งกันและกันของสมาชิกในครอบครัว
“การสื่อสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์มันน่าจะทำให้เข้าใจกันมากขึ้น”
ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสริมในประเด็นนี้ว่า กฎหมายในประเทศไทยมีหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ เช่น ความรุนแรงในครอบครัว โรงเรียน ของเพศหลากหลาย ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก สิทธิ หน้าที่ ของสมาชิกในครอบครัว เป็นต้น แต่กฎหมายจะพัฒนาไปช้ามากกว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม
“กฎหมายไทยพัฒนาตามสังคม แต่จะออกแนวช้ากว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น”
พวกเราเพิ่งได้ยินดีกับเรื่องสมรสของคนเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นการแก้กฎหมายที่ใช้มากว่า 80 ปี ในส่วนของการสมรส เราทำสำเร็จ แต่กฎหมายไม่ได้แก้เรื่อง ความเป็นบิดา มารดา และบุตร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
“คือกฎหมายเรายอมรับการสร้างครอบครัวได้ แต่คำว่า ครอบครัว ที่เรายอมรับในกฎหมายไทย กลับมองว่า ครอบครัวเป็นเรื่องของคนสองคนที่จะสร้างครอบครัว ไม่ได้พูดว่า ประเด็นของเด็กในครอบครัวที่อาจจะมีความหลากหลาย ความเป็นบิดา มารดา ของเขาเอง ควรจะอัพเดตเปลี่ยนแปลง กฎหมาย อะไรไหม ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย”
80 ปีที่ผ่านมา กฎหมายเขายอมให้บิดา มารดา มีอำนาจตัดสินใจแทนบุตรจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
“อำนาจปกครองของบิดา มารดา มีอยู่เหนือตัวเด็กในการตัดสินใจ ทำให้เด็กต้องอยู่ภายใต้สิ่งที่พ่อแม่เลือกให้ ดังนั้น พ่อแม่ก็ ห้าม สั่ง หรือขอ ไม่ให้ทำ เพราะในทางกฎหมาย ที่ว่าคือ พ่อแม่เป็นพระเจ้าของลูก ซึ่งมันยังอยู่ในกฎหมายไทย ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย”
ถ้าเทียบกับแนวคิดจากหลายประเทศ หนึ่งในกฎหมายสิทธิเด็กเขาจะมีการให้พ่อแม่ถามความสมัครใจของเด็กด้วย อำนาจพ่อแม่เริ่มเบาบางลงเปลี่ยนเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบแทน ส่วนกฎหมายไทย จะเขียนไว้ว่า อายุ 15 ปีขึ้นไป จะสามารถถามเรื่องทรัพย์สินกับลูกได้ แต่ก่อนหน้านั้น พ่อแม่จะเปรียบเสมือนปากและสมองของลูกเลย
โดยสรุปทางกฎหมาย คือ ประเด็นเรื่องการเป็นบุตรในครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศยังไม่มีคำตอบ ส่วนในเรื่องการใช้อำนาจของบิดา-มารดา กฎหมายไทยก็ไม่เคยบอกไว้ว่า ให้พ่อแม่ไปถามความสมัครใจของลูกก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย คงต้องรอการเปลี่ยนแปลงในลำดับถัดไป
อุปสรรคสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนหลากหลายทางเพศ
คุณพีราณี ศุภลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก Save the Children Thailand ให้ความเห็นว่า สองทักษะสำคัญที่ขาดหายไปในการเลี้ยงดูบุตรในประเทศไทย คือ ทักษะการเลี้ยงลูกเชิงบวก (Positive Parenting) และทักษะการเข้าใจและการพูดคุยเรื่องเพศ เพราะการที่เราจะให้เด็กเติบโตอย่างมีความสุข มีคุณภาพ สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ผู้ปกครองต้องมีทักษะนี้
ประเทศไทยมีวัฒนธรรมการลงโทษลูก ซึ่งเพิ่งมีกฏบังคับใช้ว่า ห้ามลงโทษ ห้ามทารุณกรรม ห้ามทำสิ่งที่ลดทอนคุณค่าหรือบั่นทอนจิตใจ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนมีนาคมในปีนี้ หมายความว่าที่ผ่านมาผู้ปกครองสามารถลงโทษลูกอย่างไรก็ได้ตามสมควร ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า กฎหมายไทยพัฒนาช้ามาก
สรุปคือ ทักษะการเลี้ยงลูกเชิงบวก และทักษะความเข้าใจและการพูดคุยเรื่องเพศ เป็นสองทักษะที่ผู้ปกครองคนไทยต้องศึกษาและพัฒนาต่อ เพื่อให้การเลี้ยงดูบุตรเป็นไปอย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับยุคสมัย
ดร.ติโหมะ ตะปะหนิ โอะหยะเน็น อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวไว้โดยสรุปว่า 2 สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ ระบบบริการสุขภาพ และความรู้เกี่ยวกับเพศที่หลากหลาย
ข้อจำกัดของโรงพยาบาลรัฐในด้านภาระงานที่หนักของบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้แพทย์มีเวลาจำกัดในการให้คำปรึกษาและให้การรักษาแก่ผู้ป่วยแต่ละราย นอกจากนั้นยังขาดพื้นที่ในการสร้างความเข้าใจเชิงลึกให้กับครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมทั้งองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางเพศของผู้ให้บริการสุขภาพยังไม่ได้มีการบรรจุลงในหลักสูตรการสอนอย่างเป็นระบบเท่าที่ควร บางแห่งอาจมีการสอดแทรกเป็นความรู้ตามความสนใจของอาจารย์แพทย์ของสถาบันนั้น ๆ ตามความเชี่ยวชาญ และควรมีการอบรมและอัพเดตความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง
ผศ.ชุณพฤทธิ์กร จิรบวรกิจ อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสริมประเด็นดังกล่าวว่า อุปสรรคสำคัญในการสื่อสารของสมาชิกครอบครัวของคนไทยคือการที่ผู้ปกครองและเด็กขาดความเข้าใจในการสร้างความรู้สึกและการมีส่วนร่วม ร่วมกัน
สังคมไทยมีวาทกรรมสร้างกรอบกำหนดการเป็นลูกที่ดี ต้องวางตัวเรียบร้อย ปฏิบัติตามกรอบที่วางไว้ ถึงแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปและมีอิสระประมาณหนึ่งแล้ว แต่ยังคงต้องอยู่ในกรอบสังคม วัฒนธรรม และหนึ่งในวัฒนธรรมนั้นคือ High-Context Culture เป็นการสื่อสารที่ทำให้คิดแล้วคิดอีก ไม่กล้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่จริงจัง หรือบางครั้งอาจจะใช้คำพูดที่ลดทอนความจริงจังของสิ่งที่กำลังอยากจะพูด
ดังนั้น วิธีการของเราคือพยายามทำให้เห็นว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะพูด ที่จะส่งเสียงแห่งความต้องการที่แท้จริงของตนเองออกมา เพื่อสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน
ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความเห็นว่า กระบวนการร่างกฎหมายในไทยต้องผ่านหลายฝ่าย หนึ่งในนั้นคือสภาผู้แทนราษฎรซึ่งแต่ละคนมีเบื้องหลังสภาพการเติบโตจากสังคมที่แตกต่างกัน ทำให้การขับเคลื่อนในประเด็นนี้เป็นไปอย่างช้า ๆ เพราะการยื่นข้อเสนอที่มีความทันสมัยเข้าสภา อาจทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจบางส่วนเกิดความกังวลได้ เช่นในกรณีของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่แม้จะผ่านการยอมรับในการสมรสของคนเพศเดียวกันได้แล้ว แต่กฏหมายฉบับนี้ยังไม่ได้แตะถึงประเด็นของเรื่องของคำว่า บุพการี และการรับบุตรบุญธรรม ด้วยมีความกังวลว่า หากแตะเรื่องเด็กมากเกินไป อาจทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากและกฎหมายนี้จะไม่ผ่าน ซึ่งจากประเด็นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการประนีประนอมในสังคมไทย ที่เลือกจะแก้ปัญหาจากจุดหนึ่ง แทนการเขียนแบบครอบคลุม
นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องภาระของพ่อแม่ที่ไม่ถูกสนับสนุนโดยรัฐ ที่กฏหมายไทยกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของพ่อแม่ แต่ไม่มีการสนับสนุนในการเลี้ยงดูบุตรอย่างเพียงพอจากรัฐบาล ทำให้ผู้ปกครองจำนวนมากต้องแบกรับภาระทั้งทางหน้าที่การงาน และหน้าที่การเลี้ยงลูกอย่างถูกต้องด้วยตนเอง ภาระจึงตกอยู่ที่ตัวเด็ก
แนวทางในการลดความเสี่ยงและการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีเด็กหรือเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศ
คุณพีราณี ศุภลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก Save the Children Thailand ให้ข้อมูลว่า Save for Children Thailand พยายามทำงานร่วมกับโรงเรียนและเข้าถึงผู้ปกครอง เริ่มให้เด็กได้ทำความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ มีการจัดกิจกรรมภายในโรงเรียน และพยายามผลักดันให้ครูร่วมสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็ก และขยายมาที่ผู้ปกครอง โดยมีการเข้าร่วมการประชุมผู้ปกครอง และสร้างความเข้าใจว่า ความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนและไม่ใช่เรื่องไกลตัว
“ผู้ปกครองที่เป็นผู้ชายบางคนยังไม่กล้าร้องไห้เลย เพราะถูกสอนมาว่าเป็นผู้ชายห้ามร้องไห้”
“ส่วนในมุมมองเชิงนโยบาย เราพยายามผลักดันให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในการศึกษาเรื่องความหลากหลายทางเพศ เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ แม้ว่านักเรียนบางส่วนจะเข้าถึงข้อมูลเรื่องเหล่านี้ในทางออนไลน์ได้ แต่ก็ไม่ใช่เด็กทุกคนจะเข้าถึงได้ ดังนั้น เราจึงยังอยากเห็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กมาเจอกัน โรงเรียนจึงถือเป็นพื้นที่ที่สำคัญในการเรียนรู้”
ดร.ติโหมะ ตะปะหนิ โอะหยะเน็น อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงทัศนะว่า ผู้ปกครองไม่ควรใช้ความรุนแรงกับลูก ไม่บังคับลูกในการแต่งตัวหรือการแสดงออกทางเพศ รวมทั้งไม่เลือกปฏิบัติในรูปแบบต่าง ๆ และหากลูกได้พบเจอกับสิ่งเหล่านี้จากโลกภายนอก ผู้ปกครองควรช่วยปกป้องบุตรของตนเอง และเปิดใจรับฟังลูก หากทำได้ ปัญหาทางสุขภาพจิตในเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศจะลดลงได้
ผศ.ชุณพฤทธิ์กร จิรบวรกิจ อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวไว้โดยสรุปว่า เรื่องเพศที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงโครงสร้างความรักและความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ซึ่งการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูกเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ถึงแม้ผู้ปกครองอาจจะไม่ได้เข้าใจลูกไปทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญคือการที่เราอยากจะฟัง มองเห็น และได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“พ่อแม่เวลาลูกยังไม่ได้เกิดมา เรารักเขามาก แต่พอวันหนึ่งที่เขาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว แล้วเขาบอกว่า เขาขอเลือกว่าจะเป็นแบบนี้ หรือเขาเป็นแบบนี้แล้วตั้งแต่แรก ทำไมเราถึงไม่ยอมรับกับสิ่งที่เขาเป็น”
นอกจากสถาบันครอบครัวแล้ว สถาบันการศึกษา หลักสูตร ละคร หนัง ฯลฯ ต้องแสดงให้เห็นว่า การคุยเรื่องเพศหรือการยอมรับในความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวไว้โดยสรุปว่า กฎหมายประเทศไทยเขียนค่อนข้างช้าแม้จะมีกฎหมายหรือแนวคิดจากต่างประเทศมาเป็นแนวทางเบื้องต้น และเป็นเรื่องใกล้ตัว
ผู้ปกครองรู้หน้าที่ของตนเอง แต่ก็ต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาลจากหลายภาคส่วน เพื่อให้การเลี้ยงลูกเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งทางด้านความเป็นอยู่และด้านความรู้ความเข้าใจในประเด็นต่าง ๆ รวมทั้งประเด็นด้านความหลากหลายทางเพศด้วยเช่นกัน เพราะหากเขามีองค์ความรู้ มีความเข้าใจมากขึ้น ถูกแบ่งเบาภาระมากขึ้น ย่อมจะเกิดผลดีต่อตัวเด็กต่อไป และหากไม่มีการสนับสนุนผู้ปกครองในด้านนี้ ก็อาจจะทำให้แก้ปัญหานี้ได้ยากไปด้วยเช่นเดียวกัน
—-------------------------------
เรียบเรียงโดย ศุภลักษณ์ ศรีจำเริญ และ นวนันต์ เกิดนาค
บทความนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์