Loading...

สรุปประเด็นสำคัญจาก Forum “60 ยังเสว” ความท้าทายด้านการส่งเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ

        เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ Bangkok Pride 2025 เปิดวงเสวนาพูดคุยในประเด็นเรื่อง “ความหลากหลายทางเพศ” ในธีม “เกิด แก่ เจ็บ โต” Caring for Every Way of Being ณ LIDO CONNECT (HALL 3) ดำเนินการโดยคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยความร่วมมือกับ Bangkok Pride และการสนับสนุนจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

        การเสวนาใน Forum “60 ยังเสว” ความท้าทายด้านการส่งเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นวงเสวนาที่ชวนทุกคนร่วมฟังประสบการณ์ตรงที่เกี่ยวข้องกับ “วัยสูงอายุ” ซึ่งเป็นวัยที่มักถูกมองว่ามีความถดถอยด้านสุขภาพร่างกาย แต่ขณะเดียวกัน คนในวัยนี้กลับเต็มด้วยประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนาน นอกจากนั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนในมุมมองเกี่ยวกับความท้าทายด้านความหลากหลายทางเพศ ซึ่งทำให้ประเด็นมีความซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อซ้อนทับกับการเปลี่ยนแปลงด้านอายุ ด้วยการนำเสนอข้อค้นพบจากการดำเนินโครงการของคณาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมแบ่งปันความเห็น ได้แก่ ย่าตุ๊ก คุณปกชกร วงศ์สุภาร์ คู่รัก “ปู่กัญจน์-ย่าตุ๊ก” เจ้าของ TikTok ช่อง “ปู่กะย่า” (pukaya.family) ผศ.ดร.อัครา เมธาสุข อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ.ดร.ญาดา อรรถอนันต์ อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ รศ.ดร.ฐิติกาญจน์ อัศตรกุล อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ประสบการณ์หรือความท้าทายของกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ

        ย่าตุ๊ก คุณปกชกร วงศ์สุภาร์ คู่รัก “ปู่กัญจน์-ย่าตุ๊ก” เจ้าของ TikTok “ปู่กะย่า” (pukaya.family) กล่าวไว้โดยสรุปว่า จากประสบการณ์การใช้ชีวิตคู่กับคู่รักเพศเดียวกันในสังคมไทยตั้งแต่ช่วงที่อายุ 30 กว่า ๆ โดยเฉพาะสังคมชนบท ต้องเผชิญทั้งการตัดสิน การถูกตีตรา และการขาดการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง ทำให้เกิดความอึดอัดใจ รวมทั้งไม่สามารถเปิดเผยหรือแสดงความรักต่อคู่ชีวิตของตนเองได้อย่างเต็มที่

        “เราไม่สามารถบอกเล่าหรืออธิบายความสัมพันธ์ของเราให้ใคร ๆ รู้ได้ มันไม่ถึงกับซ่อนตัว แต่มันเป็นข้อสงสัยของครอบครัว ของญาติ ยิ่งในสังคมชนบท มันเป็นความสงสัยที่ ถ้าใกล้ชิดนิดหนึ่ง ก็อาจจะไปถามกับครอบครัวเลย ว่าตกลงเขาเป็นอะไรกัน” หรืออย่างร้ายแรง ที่เคยได้ยินมา คือ

        “ผู้หญิงกับผู้หญิงจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันยังไง…อุบาด…ครึ”

        ในตอนนั้น แม้เราจะเกิดความเจ็บปวดหรืออึดอัดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ย่าตุ๊กก็ใช้ชีวิตมีความสุขกับคู่ชีวิตของไปโดยที่เราก็ไม่ได้คิดว่าเราต้องการสิทธิใด ๆ จากรัฐ เพราะตนเองทำธุรกิจส่วนตัว สามารถดูแลตัวเองได้

        เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การเข้ามาของสื่อและเทคโนโลยี ทำให้สังคมเปิดกว้างและรู้จักคำจำกัดความทางเพศที่หลากหลายมากขึ้น คนที่มีความหลากหลายทางเพศกล้าแสดงออกมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมมากพอในด้านสิทธิต่าง ๆ และการยอมรับของคนในสังคม

        ช่วงหนึ่งที่ย่าตุ๊กได้เล่น TikTok โดยหลานได้ลงคลิปของย่ากับคนรัก จนกลายเป็นไวรัลและเริ่มมีแฟนคลับเยอะขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้นก็เริ่มมีสื่อต่าง ๆ เข้ามาสัมภาษณ์ เชิญทั้งสองคนไปเป็นแขกรับเชิญ

        จากการได้เข้าร่วมงานต่าง ๆ ทำให้ย่าตุ๊กได้เริ่มเข้าใจคำว่า “ความเท่าเทียม” และเริ่มเกิดความ “ตระหนัก” โดยเฉพาะช่วงที่จำเป็นต้องพาคู่ชีวิตไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลแล้วไม่สามารถใช้ชื่อของตนเองในการเซ็นอะไรที่เกี่ยวกับการรักษาคนรักได้เลย ต้องให้ตามลูกหลานของเขามาเซ็นอีกที ทำให้เริ่มฉุกคิด ถึงความยากลำบากหากจำเป็นต้องได้รับการเข้ารักษาในอนาคต

        “ถ้าเกิดแก่มากไปกว่านี้จะทำยังไง ถ้าเกิดต้องช่วยเหลือในการกู้ชีพคู่ชีวิต เราคงไม่มีสิทธิทำอะไรได้ แต่เราก็ไม่มีสิทธิที่จะไปเรียกร้องให้ใครมาเข้าใจความรู้สึกเราได้ในเวลานั้น”

        “การใช้ชีวิตที่จะอยู่ในสังคมนี้ วันหนึ่งเมื่อเราสูงวัยมากขึ้น ถ้าไม่มีพื้นที่ หรือหน่วยงานรัฐเข้ามาดูแลเรา เราจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง”

จนกระทั่งเกิดกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” ขึ้น ในประเทศไทย

        “ย่าก็ได้เห็นความตื่นเต้นดีใจของคนรุ่นลูกรุ่นหลานที่อยู่ในวัยสร้างเนื้อสร้างตัว เขาจะได้จัดการทรัพย์สินได้ จัดการอะไรหลาย ๆ อย่างได้ และสิ่งหนึ่งที่เขามีคือ เขาสามารถยืนอยู่ในสังคมด้วยความภาคภูมิใจได้ แม้กระทั่งวันนี้ ถ้าใครมาตีตราเขาว่า ผิดเพศ นี่ผิดกฎหมายนะคะ เป็นการดูถูก”

        อย่างไรก็ตาม ย่าตุ๊กก็ยังมองเห็นว่ามีผู้สูงอายุอีกมากที่ต้องการความช่วยเหลือและสวัสดิการรัฐ จึงเริ่มทำกิจกรรมอาสาเข้าพบผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ด้วยหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคม ในการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเอง และเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ช่วยเรียกร้องให้รัฐและทุกภาคส่วนเข้ามาดูแลเรื่องรัฐสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุอย่างเท่าเทียม

        ผศ.ดร.อัครา เมธาสุข อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ข้อมูลว่า จากการเก็บข้อมูลจากผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วประเทศตั้งแต่ปลายปี 2566 ถึงช่วงกลางปี 2567 พบปัญหาในประเทศไทย 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การเข้าถึงการบริการสุขภาพของผู้มีความหลากหลายทางเพศ การใช้ชีวิตร่วมกันในพื้นที่การทำงาน และการเข้าถึงพื้นที่การเรียนรู้

        ประเด็นเรื่องการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ พบตัวเลขผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศมากกว่า 18% ที่มีความรู้สึกไม่อยากไปโรงพยาบาล

        “ซึ่งพอเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นผู้สูงอายุด้วย ทับซ้อนกันทั้งสองเรื่อง กลายเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าเข้าหาบริการทางสุขภาพ เพราะไม่ไว้ใจบุคลากรภาครัฐ”

        ประเด็นการใช้ชีวิตร่วมกันในพื้นที่การทำงานของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ในประเด็นนี้มีผลกระทบหลายช่วงวัย ตั้งแต่หนุ่มสาวไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยพบตัวเลขผู้สูงอายุประมาณ 11% ที่เคยถูกกระทำความรุนแรงทางเพศ (อาจไม่ใช่แค่การข่มขืน และจริง ๆ แล้วประเด็นการถูกข่มขืนก็พบตัวเลขสูงพอสมควรในคนบางกลุ่ม) เช่น การถูกทำร้ายร่างกายในพื้นที่ทำงาน

        “การถูกทำร้ายร่างกาย ก็ไม่ใช่เรื่องเบา ๆ ถ้าไปโดนในพื้นที่ทำงาน ซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ทุกคนจะรู้สึกสบายใจที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่”

        ประเด็นการถูกรังแกในพื้นที่การเรียนรู้ เช่น โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ในคนที่มีความหลากหลายทางเพศในสมัยก่อน (เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว) ทำให้ความรู้สึกที่อยากจะเข้าหาพื้นที่การเรียนรู้ของคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นไปได้ยาก

        “คนในยุค 30-40 ปีที่แล้ว หรืออาจจะก่อนหน้านั้น ก็จะรู้สึกว่าตัวเองถูกทำร้ายร่างกายในพื้นที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ซึ่งควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัย”

        “การบูลลี่และทำร้ายร่างกายคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องปกติธรรมดาในยุคนั้น มันทำให้การเข้าถึงพื้นที่เรียนรู้ของผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดความเจ็บในจิตใจแล้ว… เมื่อสูงอายุแล้วเรื่องที่เคยถูกรังแกก็ยังคงฝังใจอยู่ เกิดปัญหาในการเข้าถึงพื้นที่การเรียนรู้อื่น ๆ … ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่จะใช้พื้นที่อยู่ร่วมกันแบบนี้”

        รศ.ดร.ฐิติกาญจน์ อัศตรกุล อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมประเด็นดังกล่าวไว้ดังนี้

        “หลาย ๆ อย่างเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันตราตรึง มันฝังอยู่ในจิตใจ แล้วมันจะส่งผลกระทบเมื่อวันหนึ่งที่เราอายุเยอะขึ้นด้วยเหมือนกัน มันส่งผลถึงพฤติกรรมและการเลือกของเราด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในอดีตที่ผ่านมาอาจจะต่างจากตอนนี้ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน”

        “หรือแม้กระทั่งในยุคปัจจุบันที่เราพูดเสมอว่า ยอมรับแล้ว เปิดกว้างแล้ว แต่มันยังมีอะไรลึก ๆ อยู่ภายใต้วิธีคิดของคนอยู่เหมือนกัน”

พื้นที่แบบไหนที่จะทำให้ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศรู้สึกสบายใจ อบอุ่นใจ หรือกล้าเปิดเผยตัวตนได้มากขึ้น

        ย่าตุ๊ก คุณปกชกร วงศ์สุภาร์ คู่รัก “ปู่กัญจน์-ย่าตุ๊ก” เจ้าของ TikTok “ปู่กะย่า” (pukaya.family) กล่าวโดยสรุปว่า ความเจ็บปวดในอดีตส่งผลถึงชีวิตและสภาวะทางจิตใจของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และมันไม่ได้มีพื้นที่ปลอดภัยพอจะมานั่งเล่าถึงความเจ็บปวดนั้นให้ใครฟัง และถ้าต้องมีพื้นที่แบบนั้นเกิดขึ้น ก็อยากให้เป็นพื้นที่ที่โอบกอดเราและสามารถไว้ใจใครสักคนได้จริง ๆ

        “พื้นที่ความปลอดภัยในที่นี้คือปลอดภัยทางจิตวิญญาณเราด้วย”

        “มันปลอดภัยในแง่ที่ว่า เมื่อเราสุด ๆ กับชีวิตแล้ว ใครสักคน หรือพื้นที่ที่รายล้อมไปด้วยคนที่เข้าใจเราจริง ๆ โอบกอดหัวใจเรา”

        นอกจากนั้น ย่าตุ๊กยังอยากเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นคนทำให้คนเหล่านี้รู้สึกดีขึ้นด้วย และอยากเห็นรัฐบาล องค์กรและเครือข่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้ด้วย

        “การที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น มีคุณค่าในชีวิต ได้รับการยอมรับ ได้รับการเยียวยา มันต้องมีพื้นที่ ซึ่งย่าก็อยากเห็นในช่วงชีวิตนี้ของตัวเอง หรือถ้าเรามีส่วนที่อยู่ตรงนั้นแล้วทำให้ใครเบิกบานขึ้นมาได้เราก็อยากทำ”

        “ตรงนี้มันต้องเชื่อมโยงกันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มก้อน องค์กร เครือข่ายต่าง ๆ ต้องเข้ามามีบทบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องทำ”

เราควรออกแบบกระบวนการอย่างไรให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง และสามารถวัดผลได้ด้วย

        ผศ.ดร.อัครา เมธาสุข อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าถึงสิ่งที่พบในการดำเนินโครงการในปีแรกคือ ปัญหาความเหงาและความรู้สึกโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศต้องเผชิญความท้าทายที่ค่อนข้างมากกว่าผู้สูงอายุโดยทั่วไป ซึ่งไม่ใช่เพียงแง่ความสัมพันธ์ของเพื่อนฝูงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวด้วย จึงเป็นที่มาของโครงการพัฒนาพื้นที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ

        “การล้มหายตายจากของเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันปีละคนสองคนหรืออาจจะมากกว่านั้น มันอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้สูงอายุมาก ๆ และโครงการเราโฟกัสที่ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ เพราะการทับซ้อนและอัตลักษณ์ทำให้คนกลุ่มนี้เจอความท้าทายที่มากกว่าผู้สูงอายุทั่วไป”

        “ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศมีความท้าทายในแง่ของความสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่เพื่อนที่กำลังหายจากไป แต่ความสัมพันธ์กับครอบครัวในยุคก่อนที่ไม่ได้โอบรับความหลากหลายทางเพศ ทำให้ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศจำนวนมากเลือกที่จะอยู่คนเดียว…ไม่มีลูกหลาน เราไม่มีกฎหมายรับลูกบุญธรรมได้ และแต่ก่อนการแต่งงานก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ อยู่ร่วมกันไปความมั่นคงก็น้อย แล้วการยอมรับของคนรอบข้างก็น้อย…ทำให้ความเหงาเป็นประเด็นสำคัญ”

        การพัฒนาพื้นที่เป็นมิตรจึงตั้งอยู่บนหลักการที่พยายามเปลี่ยน “ความเหงา” เป็น “ความรู้สึกมั่นคง” มากขึ้น ผ่านการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศมาทดลองร่วมกิจกรรมกันตลอด 4 เดือน

        “โครงการนี้อาจไม่ได้หาเพื่อนให้มาอยู่บ้านเดียวกันให้…แต่เราเชื่อมใจ สร้างความเข้มแข็งของจิตใจกัน”

        ซึ่งภายในกิจกรรมจะมีทั้งสิ้น 4 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ Self Understanding, Self-Care, Self-Esteem และ Empowerment ซึ่งนอกจากความรู้จากเหล่าคณาจารย์แล้ว ยังได้ความรู้จากเหล่าผู้เข้าร่วมทุกคนที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน

        “Self Understanding จะชวนพี่ ๆ มาสัมผัสความรู้สึกของตนเอง…รับรู้ความอ่อนโยนข้างใน…ไม่ทุบตีตนเองยังไงได้บ้าง”

        “Self-Care จะทำให้เรามองเห็นว่าผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศจะอยู่อย่างมีสุขภาพดีได้อย่างไรทั้งทางกาย ทางใจ ทางสังคม และทางจิตวิญญาณ”

        “หลายครั้งผู้สูงอายุหลายคนคิดว่ามันคือการรอนับวันถอยหลังไปเรื่อย ๆ แต่เราพบว่าผู้สูงอายุมีทรัพยากรเวลาและประสบการณ์ที่เข้มข้น…ซึ่งเป็นประโยชน์กับงานอาสาเพื่อขับเคลื่อนสังคมมาก ๆ”

        “เชิงจิตวิทยา เราพบว่าการที่คนเราเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานอาสา ช่วยให้เราค้นพบว่าชีวิตของเรามีคุณค่า…ซึ่งผมเชื่อว่าจะช่วยเรื่อง Self-Esteem”

        “สุดท้ายคือเรื่อง Empowerment หรือการเสริมพลังของตนเอง เราเชื่อว่าถ้าพี่ ๆ มีเครื่องมือเหล่านี้ติดตัวไปแล้วก็น่าจะสามารถแบ่งปันให้กับเพื่อนรอบข้างได้อีก”

การสร้างพื้นที่เป็นมิตรบนพื้นที่ออนไลน์

        ผศ.ดร.ญาดา อรรถอนันต์ อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากพื้นที่เป็นมิตรในรูปแบบกิจกรรมหรือเวิร์คชอปแล้ว เรายังต้องการพัฒนาพื้นที่ปลอดภัยบนพื้นที่ออนไลน์ร่วมด้วย โดยมีแนวคิดเพื่อแก้ปัญหาเบื้องต้นให้กับผู้สูงอายุบางส่วนที่มีความกังวลในการเข้าใช้พื้นที่บริการทางสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาวะของตนเองทั้งกาย จิตใจ และส่วนอื่น ๆ

        แพลตฟอร์มออนไลน์นี้ ถูกออกแบบให้เข้าใช้งานได้ทั้งรูปแบบมือถือและคอมพิวเตอร์ โดยมีเป้าหมายให้ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศได้มีพื้นที่ในการเข้าไปประเมินสุขภาวะร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณของตนเองเบื้องต้น โดยผู้ใช้งานสามารถสร้างโปรไฟล์อวตารตามอัตลักษณ์ที่ตนเองต้องการได้

        และเนื่องด้วยกลุ่มเป้าหมายของแพลตฟอร์มนี้คือผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ จึงออกแบบให้มีความเหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้งาน เช่น การใช้รูปแบบตัวหนังสือที่มีขนาดใหญ่ การใช้ตัวหนังสือหัวกลม และการเน้นใช้สีขาว ทำให้ดูเป็นมิตรและอ่านง่ายขึ้น

ผู้สูงอายุได้อะไรจากการเข้าร่วมโครงการนี้บ้าง

        ย่าตุ๊ก คุณปกชกร วงศ์สุภาร์ คู่รัก “ปู่กัญจน์-ย่าตุ๊ก” เจ้าของ TikTok “ปู่กะย่า” (pukaya.family) เล่าในฐานะผู้เข้าร่วมโครงการว่า ได้รับประสบการณ์และสิ่งต่าง ๆ ที่ดีมากมาย และการได้ฟังโครงการของอาจารย์แล้วทำให้รู้สึกมีความหวัง ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้น จะเป็นพื้นที่ในฝันของเหล่าคนสูงวัยที่มีความหลากหลายทางเพศทั้งออนไลน์และออฟไลน์

        “จะบอกว่า…ได้มากมายมหาศาลเลยนะคะ”

        “แพลตฟอร์มที่ย่าเข้าไปกรอกบางทีก็มานั่งขำเหมือนกันว่า นี่เรายังอยู่ในภาวะเหงาหรอเนี่ย… บางทีเราก็ไม่ได้เข้าใจตัวเอง แต่จากการกรอก จะเห็นว่าแท้จริงแล้วส่วนลึกที่สุดเรายังอาจจะเหงาอยู่ก็ได้”

        “ส่วนพื้นที่ในชุมชนเนี่ยเป็นอีกความฝันหนึ่งเลยที่อยากให้เกิดขึ้น คือที่อยู่อาศัยปัจจัยของมนุษย์สี่อย่างแล้วเนี่ยที่อยู่อาศัยสำหรับคนหลากหลายทางเพศมันควรจะมี”

        “คาดหวังว่าในช่วงวัยของชีวิตเราเนี่ยมันน่าจะได้เห็น เกิดมาเป็นรูปธรรมจริงๆ …สังคมสูงวัยบางคนเค้าไม่ได้มีลูก หรือคู่ชีวิตจากไปก่อน จะใช้ชีวิตยังไงถ้าเค้าไม่ได้เข้มแข็งหรือแข็งแรง สุขภาพทางจิตใจจิตวิญญาณ เค้าไม่ได้เข้มแข็ง คือแต่ละคนก็ไม่ได้เหมือนกันใช่ไหมคะ”

อยากเห็นนโยบายลักษณะไหนในสังคม

        ผศ.ดร.อัครา เมธาสุข อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึงประเด็นนโยบายทางสังคม 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การดูแลสุขภาพ การจัดการพื้นที่ทำงาน และพื้นที่การเรียนรู้

        ในเชิงการดูแลสุขภาพประกอบไปด้วย ประเด็นบ้านพักคนชรา ซึ่งสำหรับผู้สูงอายุทั่วไปในปัจจุบันยังมีอยู่ค่อนข้างน้อย พอเป็นผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศแล้ว จะมีความซับซ้อนในด้านการดูแลมากกว่า จึงเชื่อมโยงไปถึงประเด็นด้านความรู้ความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางเพศของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย

        ในเชิงการจัดการพื้นที่ทำงาน จากการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศกว่า 80% ยังต้องทำงานอยู่ และกลุ่มเลสเบี้ยนเฉียด 100% ต้องทำงานจนถึงแก่เฒ่า เนื่องจากไม่มีสวัสดิการที่รองรับ และไม่มีลูกหลานดูแล นอกจากนั้น สถานที่ทำงานหลายที่ยังไม่รับผู้สูงอายุเข้าทำงาน จึงส่งผลให้ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศรู้สึกกดดันมากขึ้น

        “ยิ่งสูงอายุมากขึ้นก็ยิ่งกดดันมากขึ้น ความเหงาก็ต้องเผชิญอยู่ และไม่มีใครอยู่ด้วย ด้านการเงินก็เผชิญด้านความท้าทายแบบนี้อีกแล้ว ดังนั้นก็อยากจะชวนขับเคลื่อนในเรื่องของพื้นที่ทำงานของผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ”

        ไม่เพียงสำหรับผู้สูงอายุ แต่สำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศวัยหนุ่มสาวด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้ในตอนนี้จะมีสถานที่ทำงานหลายแห่งพยายามปรับปรุงให้พื้นที่มีความเป็นมิตรกับกลุ่มคนเหล่านี้เพิ่มขึ้นแล้ว แต่ก็ถือว่ายังไม่ครอบคลุมทั้งหมด

        ในเชิงพื้นที่การเรียนรู้ ต้องอาศัยคนรุ่นใหม่ เยาวชน และคนวัยทำงานในการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ ให้ตนเองและบุคลากรเปิดใจและลดอคติของตนเองที่มีต่อผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ

        “คือแค่เข้าไปถึงก็ถูกมองด้วยสายตาที่รู้สึกว่า ป้ามาทำไม ลุงมาทำไม เป็นมนุษย์ลุง มนุษย์ป้าจะมาทำอะไร…เรียกว่าการกีดกัน ทั้งการออกแบบกายภาพที่ผู้สูงอายุจะเข้าถึงได้ยาก อันนี้ก็จะใช้ universal design เข้าไปช่วยได้ แต่มันเป็นเรื่องของสังคมด้วย ปฏิสัมพันธ์ด้วย ที่จะทำยังไงให้ผู้สูงอายุมีความสบายใจ”

        ผศ.ดร.ญาดา อรรถอนันต์ อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวต่อว่า หากในอนาคตมีการพัฒนาฐานข้อมูลความรู้ให้กับผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องมากขึ้น จะสามารถแก้ปัญหาด้านการขาดความรู้ความเข้าใจ และนำไปสู่การพัฒนานโยบายที่ดียิ่งขึ้นไปได้

        นอกจากนั้นยังกล่าวเสริมว่า สิ่งสำคัญไม่แพ้การพัฒนาฐานข้อมูลคือ การเผยแพร่วิธีการเข้าถึงและการใช้งานของฐานข้อมูลนั้น ๆ

        “ไม่ใช่แค่พัฒนาอย่างเดียว แต่ท้ายที่สุดแล้ว…เราต้องมาเผยแพร่นวัตกรรมที่จะทำให้ผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศเข้าถึง และใช้งานตัวนี้ได้อย่างเต็มที่ด้วย”

        รศ.ดร.ฐิติกาญจน์ อัศตรกุล อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวทิ้งท้ายก่อนจบวงสนทนาว่า หากฐานเก็บข้อมูลด้านประชากรของหน่วยงานรัฐ มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศครอบคลุมมากขึ้น จะทำให้มีการนำข้อมูลไปใช้ต่อยอดในการวิจัยเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

        “ทำไมมันถึงไม่มีข้อมูล มันมาจากสมมุติฐานบางอย่างของคนในสังคมหรือเปล่าที่มองว่าจริง ๆ แล้วกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ ก็อาจจะมีความต้องการแบบเดียวกันกับผู้สูงอายุทั่วไป”

—-------------------------------

เรียบเรียงโดย ศุภลักษณ์ ศรีจำเริญ กนกพร สาไชยันต์ และ นวนันต์ เกิดนาค

บทความนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์