Loading...

คนพื้นเมืองกับพลังการเรียนรู้ที่หยั่งรากในชุมชน

        ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ชุมชน” ยังคงเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยองค์ความรู้ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่หลากหลาย โดยเฉพาะชุมชนของคนพื้นเมืองหรือคนท้องถิ่นซึ่งมักถูกมองข้ามในกระแสหลักของสังคม การเรียนรู้จากชุมชนจึงไม่ใช่เพียงการออกไป “สัมผัส” หรือ “ศึกษาภาคสนาม” เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการให้คุณค่าแก่ความรู้ที่เกิดจากชีวิตจริง การสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อความหลากหลาย และการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความแตกต่างอย่างเคารพและเท่าเทียม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหัวใจสำคัญของแนวคิด “การเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน”

        LSEd Let’s Talk ชวนสำรวจแนวคิด “การเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน” ผ่านการพูดคุยกับ ผศ.ดร.กิตติ คงตุก หรือ อาจารย์เต้ย อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการนำแนวคิดนี้มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ของคณะ และเชื่อมั่นว่าการเรียนรู้จากชุมชนจะช่วยให้นักศึกษามองเห็นโลก เข้าใจตนเอง และออกแบบการเปลี่ยนแปลงในแบบของตนเองได้อย่างมีความหมาย

        อ.เต้ย เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่า โลกของเรานั้นเต็มไปด้วยความหลากหลาย และหากพูดถึง “คนพื้นเมือง” หรือ “คนท้องถิ่น” ในบริบทของการสร้างองค์ความรู้ พวกเขามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง

        อาจารย์อธิบายว่า แม้เราทุกคนจะมีชาติพันธุ์ เช่น คนจีน คนไทย หรือคนยุโรป แต่ความเป็น “คนพื้นเมือง” นั้นไม่ใช่เพียงการมีเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์เท่านั้น หากยังหมายถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งมาอย่างยาวนาน มีการดำรงชีวิตตามวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาที่สั่งสมเฉพาะในพื้นที่นั้น สิ่งเหล่านี้กลายเป็นองค์ความรู้ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว

        อย่างไรก็ตาม ในสภาพสังคมปัจจุบันที่ระบบทุนนิยมเข้ามาครอบงำ คนพื้นเมืองจำนวนมากกลับถูกผลักให้กลายเป็น “คนนอก” หรือ “คนชายขอบ” ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีองค์ความรู้ แต่เพราะอำนาจ ทุน และระบบที่อยู่ในมือของกลุ่มคนกระแสหลัก ทำให้เสียงของคนพื้นเมืองไม่ถูกรับฟังมากพอ กระทั่งกลายเป็นเพียงกลุ่มคนที่มุ่งมั่นรักษาวิถีของตนให้ดำรงอยู่ถึงลูกหลานรุ่นถัดไปเพียงเท่านั้น

        “องค์ความรู้นอกกระแสหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นอันมีที่มาจากคนพื้นเมืองมีเยอะมาก” อ.เต้ยกล่าว พร้อมเน้นว่า หากเราต้องการรู้จักโลกอย่างแท้จริง เราต้องเข้าใจวิถีของภูมิปัญญาท้องถิ่น และกระบวนการเรียนรู้ที่จะไปถึงตรงนั้นได้ ก็ต้องเหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ด้วย

        อ.เต้ย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า หากเราจะทำความเข้าใจปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่บนดอย เราต้องเรียนรู้วิถีชีวิตในป่า เข้าใจวัฒนธรรมบนภูเขา หรือหากเราจะเข้าใจกลุ่มมอแกลนที่ใช้ชีวิตอยู่กับทะเล ก็ต้องเรียนรู้วิธีคิดและวิถีอยู่ร่วมกับธรรมชาติทางทะเล ซึ่งสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ คือ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มคน ที่เสมือนเป็น “คลังความรู้” อันทรงพลังของพวกเขา

        ในอีกด้านหนึ่ง อาจารย์ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความเข้าใจผิดที่สังคมกระแสหลักมีต่อคนพื้นเมือง เช่น ปัญหาเรื่อง “ไร่เลื่อนลอย” ที่มักถูกกล่าวถึงในฐานะการทำลายป่าไม้ ทั้งที่ความเป็นจริง คนพื้นเมืองหลายกลุ่มมีการทำ “ไร่หมุนเวียน” ที่เป็นวิธีการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและช่วยฟื้นฟูป่า เพียงแต่เพราะองค์ความรู้ของพวกเขาอาจไม่ถูกนำเสนอในรูปแบบวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบ หรือหลายคนไม่มีสัญชาติไม่ได้เรียนจบสูง จึงทำให้เสียงและภูมิปัญญาของพวกเขาไม่ได้รับการยอมรับมากนักในเวทีสาธารณะ

การเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน: พื้นที่แห่งความเข้าใจมนุษย์และภูมิปัญญาท้องถิ่น

        อ.เต้ย มองว่า กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community-Based Learning) เป็นแนวทางที่สามารถเชื่อมโยงกับการเรียนรู้จากคนพื้นเมืองได้อย่างลึกซึ้งที่สุด เพราะหัวใจของการเรียนรู้แบบนี้ คือ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าไปสัมผัสพื้นที่จริง ชีวิตจริง และปัญหาจริงของชุมชน

        “กระบวนการเรียนรู้แบบนี้ ไม่ได้เน้นว่าเราจะต้องไปบอกว่าอะไรคือองค์ความรู้ แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนเข้าไปคลุกคลีกับชุมชน ได้เจอปัญหา เรื่องราวต่าง ๆ แล้วให้เขาได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง” อ.เต้ย กล่าว

        ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ผ่าน ประสบการณ์ตรง (Experiential learning) ที่ลงมือปฏิบัติจริง เกิดการรับรู้ ปฏิสัมพันธ์ และตีความสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากการเรียนแบบ Lecture ที่เน้นการถ่ายทอดข้อมูลหรือความรู้จากครูสู่ผู้เรียนโดยตรง

        การเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ยังทำหน้าที่เป็น “สะพาน” ที่เชื่อมโยงให้ผู้เรียนเข้าใจความเป็นอยู่ของคนพื้นเมือง ไม่ใช่เพียงแค่เรียนรู้ว่าเขาคือใคร แต่เรียนรู้วิถีชีวิต อุดมการณ์ ความเชื่อ และภูมิปัญญาที่ฝังอยู่ในพื้นที่ ซึ่งมักจะเป็นองค์ความรู้ที่ไม่ได้ถูกบรรจุลงในตำราเรียน

“ในมุมมองของผม คนพื้นเมืองไม่ได้ต้องการแค่ให้เรารู้จักเขาอย่างผิวเผิน แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการมากกว่านั้น คือ การที่ผู้คนเปิดใจยอมรับตัวตน วิถีชีวิต และอุดมการณ์ของเขา ซึ่งการเข้าใจในระดับนี้จะนำไปสู่การมองเห็นและเคารพคนพื้นเมืองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ในฐานะตัวแทนของวัฒนธรรมที่แตกต่าง”

        อาจารย์ยังเสนอว่า การเรียนรู้แบบ Problem-Based Learning ที่วางรากฐานจากปัญหาหรือโจทย์ที่เกิดขึ้นในชุมชน ก็เป็นแนวทางที่ตอบโจทย์การเรียนรู้จากคนพื้นเมืองอย่างมาก เพราะข้อมูลจำนวนมากถูกฝังอยู่ในบริบทของพื้นที่นั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศ ทรัพยากร วัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์

        อ.เต้ย เล่าว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีของการเรียนรู้ในคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ แทบไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่การเรียนรู้จะแยกขาดจากพื้นที่หรือองค์ความรู้ของชุมชน เพราะหัวใจสำคัญของคณะคือการมองว่า “พื้นที่ใด ๆ ที่เหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ ก็สามารถเป็นห้องเรียนได้” และแนวคิดนี้เองที่ทำให้การเรียนรู้ส่วนใหญ่ของนักศึกษาไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน

        หนึ่งในประสบการณ์ที่ อ.เต้ย ประทับใจ เกิดขึ้นในช่วงปี 2 เมื่อกลุ่มนักศึกษาได้ลงพื้นที่ชุมชนบ้านม้า หรือชุมชนมุสลิมเก่าแก่ในกรุงเทพมหานคร (เขตประเวศและสะพานสูง) ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับตั้งแต่สมัยที่สยามทำสงครามกับปาตานี และมีการกวาดต้อนผู้คนจากแดนใต้ขึ้นมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณดังกล่าว

        นักศึกษาได้นำเครื่องมือการเรียนรู้ที่เรียนรู้มาตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 และ 2 โดยเฉพาะ “เครื่องมือ 7 ชิ้น” มาใช้ทำความเข้าใจชุมชน ทั้งในมิติประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อออกแบบกิจกรรมที่ตอบโจทย์ชุมชน

        สิ่งที่ค้นพบคือ ชุมชนบ้านม้าเผชิญกับผลกระทบจากการตัดถนนมอเตอร์เวย์คั่นระหว่างกลางชุมชน แบ่งชุมชนออกเป็นสองฝั่ง และตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครอง ทำให้ผู้คนในชุมชนเริ่มห่างเหินกันมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่แทบไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กัน

        จากบริบทนี้ นักศึกษาจึงออกแบบกิจกรรมง่าย ๆ  เช่น เกมล่าสมบัติ ฐานอาชีพ ฐานศาสนา ฐานวัฒนธรรม โดยใช้ภูมิปัญญาและทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนมุสลิมบ้านม้าเป็นแกนหลัก และเชิญผู้ใหญ่ในชุมชนจากทั้งสองฝั่งมาเป็นผู้ให้ความรู้แก่เด็ก ๆ

        กิจกรรมที่ดูเรียบง่ายนี้กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมร้อยผู้คนในชุมชนให้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง นอกจากเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้วิถีชีวิตและองค์ความรู้ของชุมชนในแบบที่มีชีวิตแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากเป้าหมายก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ที่เริ่มกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

        “กิจกรรมนี้กลายเป็นพื้นที่ให้เด็ก ๆ จากทั้งสองฝั่งของชุมชนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน และเป็นอีกครั้งที่ผู้นำชุมชนจากทั้งสองฝั่งได้พูดคุยและร่วมออกแบบกิจกรรมที่รื้อฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่นให้หวนกลับมาเป็นที่รู้จักของผู้คนในชุมชนอีกครั้ง” อ.เต้ย เล่าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะทิ้งท้ายว่า นักศึกษาที่ได้มีบทบาทในกิจกรรมนี้ ต่างรู้สึกใจฟู เพราะนอกจากจะได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาแล้ว ยังได้เห็นผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับชุมชนจริง ๆ อย่างจับต้องได้

เรียนรู้จากชุมชนเพื่อมองเห็นตนเองและขับเคลื่อนสังคม

        อ.เต้ย อธิบายว่า การส่งเสริมให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากชุมชน โดยเฉพาะชุมชนของคนพื้นเมืองหรือท้องถิ่น มีพลังสำคัญอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับปัจเจกและระดับสังคม

        สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือ นักศึกษาจะได้ “มองเห็นโลกอย่างรอบด้าน” เพราะโดยปกติแล้ว ความรู้ที่เราเรียนในระบบการศึกษามักผ่านการจัดระเบียบและนิยามไว้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่โลกแห่งความเป็นจริง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในชุมชนที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ความเชื่อมโยง และสิ่งที่ไม่สามารถนิยามได้ชัดเจน

        การที่นักศึกษาได้ลงไปคลุกคลีอยู่กับชีวิตผู้คนจริง ๆ ได้พบสถานการณ์และปัญหาที่ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวัน จะทำให้พวกเขาเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น และที่สำคัญคือเกิด “ความตระหนัก” หรือที่คณะเรียกว่า “รู้ร้อนรู้หนาว” ซึ่งหมายถึงการเข้าใจถึงทุกข์สุขของผู้คนจากประสบการณ์ตรง ไม่ใช่การนั่งพิจารณาจากวงนอกแล้วเดาว่าปัญหาคืออะไร

        เมื่อเข้าใจทั้งความซับซ้อนของโลกและความทุกข์ของผู้คน นักศึกษาก็จะเริ่มมองเห็นตัวเองชัดขึ้นว่า “เรายืนอยู่ตรงไหน” ในภาพใหญ่ของสังคม และ “เราสามารถทำอะไรได้บ้าง” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง

        อ.เต้ย อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากระดับนโยบายหรือการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ แต่นักศึกษาจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ที่สัมผัสได้จริงในพื้นที่ที่ตนเองพบเห็น และนั่นคือพลังของการเรียนรู้จากชุมชน เพราะมันทำให้คนไม่รู้สึกสิ้นหวังกับปัญหาที่ดูใหญ่เกินเอื้อม แต่เห็นจุดเล็ก ๆ ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง

        ท้ายที่สุด นักศึกษาจะสามารถออกแบบวิธีการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เหมาะกับตนเองได้ อาจเป็นการริเริ่มสิ่งเล็ก ๆ จากตัวคนเดียว หรือเริ่มต้นสร้างเครือข่ายกับผู้อื่น และหยิบยกประเด็นที่ตนเองเชื่อมโยงได้ มาสื่อสารหรือจุดประกายสังคม

        “การเรียนรู้จากชุมชนจึงไม่ใช่แค่การเข้าใจผู้อื่น แต่เป็นการกลับมาเข้าใจตัวเอง และมองเห็นว่าคนตัวเล็ก ๆ ก็สามารถเป็นฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมได้เหมือนกัน” อ.เต้ย กล่าวทิ้งท้าย

        ดังนั้น หากเราจะพูดถึงการเรียนรู้ที่แท้จริง เราจำเป็นต้องฟังเสียงของคนพื้นเมือง เข้าใจวัฒนธรรม และให้คุณค่ากับความรู้ในท้องถิ่นด้วยความเคารพ ไม่ใช่เพียงเพื่อพัฒนาการศึกษา แต่เพื่อสร้างความเข้าใจโลกในแบบที่หลากหลายและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค