เราบางคนถูกทำให้เป็นผู้สูญหาย: อัตลักษณ์ที่ถูกมองข้ามกับความเข้าใจและการสื่อสารเพื่อทุกคน
เมื่อเราพูดถึงคำว่า “สูญหาย” หรือ “ถูกทำให้ลืม” คำเหล่านี้ไม่เพียงบ่งบอกถึงการหายไปของบุคคลเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการหายไปของความทรงจำ เสียง และอัตลักษณ์ที่สังคมเลือกจะมองข้ามไปด้วย หนึ่งในวันที่ชวนให้เราฉุกคิดกับปรากฏการณ์นี้คือ วันที่ 30 สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งเป็น “วันผู้สูญหายสากล” ที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงเหยื่อของปรากฏการณ์ของการถูกอุ้มหาย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ยังคงเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
การสูญหายไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อผู้ที่หายไป แต่ยังทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดไว้กับครอบครัว เพื่อน และชุมชนโดยรอบ โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่ถูกทำให้หายไปคือ “นักต่อสู้” ผู้ที่กำลังเรียกร้องสิทธิและความยุติธรรมให้กับสังคม การหายตัวของพวกเขาเปรียบเสมือนการส่งสัญญาณจากผู้มีอำนาจว่า “การต่อสู้เพื่อความถูกต้องนั้นไม่มีความหวัง” การที่ปรากฎการณ์นี้ยังคงเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่เอื้อให้ผู้มีอำนาจเลือกใช้การริดรอนสิทธิมนุษยชน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง และบ่อยครั้งที่รัฐบาลเป็นผู้รู้เห็นหรือสนับสนุนปรากฎการณ์นี้อยู่ สิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมประเด็นการสูญหายจึงไม่ควรถูกทำให้ลืม เพราะมันคือกระจกสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังคงเปิดทางให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนดำรงอยู่ต่อไป
ในบทความนี้ LSEd Let's Talk ชวนเปิดวงสนทนาเกี่ยวกับ “อัตลักษณ์ของมนุษย์ที่ถูกทำให้ลืม” ผ่านบทสัมภาษณ์ ผศ.ดร.นรุตม์ ศุภวรรธนะกุล หรือ อ.นอตติ อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ทำงานขับเคลื่อนด้านอัตลักษณ์ ความหลากหลาย และการเรียนรู้
อ.นอตติ ให้มุมมองว่า ด้วยความที่มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคม การที่แต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน มองเรื่องเดียวกันจากมุมคนละมุม ไม่มีจุดร่วมให้ยึด ก็น่าจะทำให้เกิดปัญหาที่มากมายตามมาได้ การคุยกันคนละภาษาย่อมทำให้เราไม่เข้าใจกัน การยึดถือกฎเกณฑ์คนละชุด ก็นำไปสู่ความขัดแย้งได้ เพราะคนหนึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้ทำได้ แต่อีกคนมองว่าไม่ควรทำอย่างยิ่ง ดังนั้น การที่สังคมสร้างข้อตกลงหรือมาตรฐานร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งนี้ก็นำไปสู่การขีดเส้นแบ่งว่า สิ่งใดเหมาะสม และสิ่งใดไม่เหมาะสม เพื่อที่จะอยู่รอดในสังคมได้ เรามักเลือกที่จะทำตามแบบแผนที่ผู้คนยอมรับ เพื่อให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ถูกจัดสรรไว้ และหลีกเลี่ยงที่จะได้รับการลงโทษจากผู้มีอำนาจ
ดังนั้น ถ้าหากพิจารณาคำว่า “อัตลักษณ์ที่ทำให้ถูกลืม” ผ่านปรากฎการณ์นี้ อ.นอตติ ให้ความคิดเห็นว่าเป็นการที่เรากำลังพูดถึง อัตลักษณ์บางรูปแบบที่ไม่อยู่ในกรอบที่ผู้มีอำนาจวางไว้ จึงถูกทำให้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ควรทำตาม และควรที่จะ “ถูกลืม”
มิติการใช้อำนาจจากบนลงล่าง และ มิติการใช้อำนาจแบบระนาบ
อ.นอตติ กล่าวต่อว่ามองปรากฎการณ์นี้ใน 2 มิติ คือ มิติการใช้อำนาจจากบนลงล่าง และ มิติการใช้อำนาจแบบระนาบ
ในมิติแรก แม้ว่าการปกปิดหรือทำให้หายไป เป็นกระบวนการทางอำนาจที่ใช้ในสังคมมนุษย์มาโดยตลอด แต่ถ้าหาดพูดถึงสังคมไทย งานทางวิชาการด้านสังคมศาสตร์หลายชิ้นสะท้อนให้เห็นว่า “ภาพลักษณ์ที่ดี” เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้มีอำนาจในสังคมไทยให้ความสำคัญ เพราะภาพลักษณ์ช่วยรักษาอำนาจผ่านความน่าเชื่อถือ หรือ ความศักดิ์สิทธิ ซึ่งเป็นที่มาของผลประโยชน์ต่าง ๆ ได้ ดังนั้น อัตลักษณ์ของกลุ่มคนที่ถูกมองว่าบั่นทอนภาพลักษณ์ของสังคมไทย ไม่ว่าจะเพราะไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่ถูกสร้างขึ้น หรือเพราะสะท้อนด้านมืดที่ผู้มีอำนาจต้องการปกปิด ย่อมเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจไม่ต้องการให้ถูกพูดถึง และถ้าหากผู้คนในสังคมไทย มีแนวโน้มจะคล้อยตามกับอำนาจ ไม่ตั้งคำถาม หรือยอมรับว่าพฤติกรรมของผู้มีอำนาจในการปกปิดความผิด เป็นสิ่งที่ “ปกติ” หรือ “ยอมรับได้” ก็น่าจะเป็นการสนับสนุนให้ผู้มีอำนาจในไทยปกปิดข้อมูล และเอารัดเอาเปรียบประชาชนไปเรื่อย ๆ ได้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
ในอีกมิติหนึ่ง หลายคนน่าจะเคยเห็นประโยคที่ว่า “คนไทยเป็นคนลืมง่าย” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยเปลี่ยนความสนใจได้รวดเร็วตามกระแส เลยทำให้รูปแบบการสนับสนุนประเด็นทางสังคมในไทยไม่ได้เกิดจากความตระหนักภายในตัวเอง แต่เกิดจากความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของมวลชนที่มีความเห็นในทิศทางเดียวกัน ตามที่เรามักจะเห็นในปรากฎการณ์ “ทัวร์ลง” แม้จะสะท้อนพลังในการขับเคลื่อนบนพื้นที่โซเชียลมีเดีย แต่บ่อยครั้งก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้สังคมมีทิศทางความสนใจเพียงแบบเดียว เมื่อมีใครที่ต้องการจะนำเสนอปรากฎการณ์จากด้านอื่น ก็ทำได้ยาก จึงทำให้เสียงของคนบางกลุ่ม อาจไม่ได้มีโอกาสถูกได้ยิน ถ้าหากผนวกกับการใช้อำนาจแบบบนลงล่างในมิติแรกด้วยแล้ว เมื่อผู้มีอำนาจสามารถควบคุมสื่อได้ เบี่ยงเบนความสนใจมวลชนให้ไม่พูดถึงบางปัญหา ก็เป็นกระบวนการที่ง่าย ที่จะทำให้ปัญหาของคนบางกลุ่มหายไปจากความสนใจของสังคมไทย
อ.นอตติ ให้ข้อสรุปว่า ปรากฎการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นข้อจำกัดในการคิดวิพากษ์ในสังคมไทย อันเนื่องมาจากเงื่อนไขทางวัฒนธรรมที่ส่วนหนึ่งคือ พวกเราคุ้นเคยกับการทำตามแบบแผนที่ถูกกำหนดมา ไม่ว่าจะจากคนที่มีอำนาจมากกว่า หรือมาจากค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคม การที่เราคุ้นเคยการทำตามแบบแผน และมองว่าสิ่งนี้คือคำตอบเดียวที่เลือกได้ ย่อมทำให้เราไม่มีโอกาสตั้งคำถามว่า เรามีทางเลือกอื่น ๆ อีกหรือไหม่ หรือ มีพื้นที่ไหนบ้างที่เรายังมองไม่เห็น ซึ่งการขาดทักษะในการตั้งคำถาม อาจทำให้สูญเสียโอกาสในการเปิดรับมุมมองใหม่ ๆ และจำกัดความสามารถในการค้นหาคำตอบต่อปัญหาที่เรื้อรังในสังคมไทย
อัตลักษณ์ที่ถูกทำให้ลืม กับโจทย์เรื่องทัศนคติและการสื่อสาร
อ.นอตติ กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยเปิดพื้นที่ให้อัตลักษณ์ของกลุ่มคนที่เคยถูกหลงลืมได้ปรากฏมากขึ้นกว่าสมัยก่อน โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ที่มีแพลตฟอร์มหลากหลายสำหรับการนำเสนอประเด็นเฉพาะหรือประสบการณ์ของตนเอง หากมองไปที่งานวิชาการด้านความหลากหลายทางเพศ ในอดีตกลุ่มที่ถูกพูดถึงบ่อยจะเป็นกะเทย ผู้หญิงข้ามเพศ เกย์ และชายรักชาย แต่ทุกวันนี้ได้เห็นการขยายพื้นที่ให้กับกลุ่มอื่น ๆ มากขึ้น เช่น หญิงรักหญิง อินเตอร์เซ็กส์ นอนไบนารี่ กลุ่มเกย์หมีที่ท้าทายค่านิยมเดิม ไปจนถึงกลุ่มที่มีอัตลักษณ์ทับซ้อน เช่น ผู้พิการที่อยู่ในกลุ่มความหลากหลายทางเพศ หรือชุมชนที่มีรสนิยมนอกกระแสอย่าง BDSM กลุ่ม Furry หรือ ชุมชนผู้ที่ชื่นชอบการทำ Shibari อย่างไรก็ตาม แม้จะมีพื้นที่มากขึ้นแล้ว แต่ปัญหาที่เห็นได้ชัดคือการขาดทักษะในการทำความเข้าใจเรื่องใหม่ ๆ เพราะแม้แต่ในพื้นที่เฉพาะเองก็ยังพบการล้อเลียนหรือการแสดงความเกลียดชังอยู่ สิ่งนี้สะท้อนว่าสังคมไทยยังขาดการส่งเสริมทัศนคติและการตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ ที่จะช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กว้างกว่ากรอบความคิดที่เคยถูกวางไว้
อ.นอตติยังอธิบายว่า การสร้างพื้นที่ให้อัตลักษณ์หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยถูกมองว่าเป็น “ชนกลุ่มน้อย” หรือ “กลุ่มเปราะบาง” จำเป็นต้องอาศัย “เครื่องมือในการสื่อสาร” ควบคู่ไปด้วย เพราะถึงแม้คำเหล่านี้จะถูกหลีกเลี่ยงในปัจจุบันเพื่อยืนยันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม แต่กรอบความสัมพันธ์แบบ “ผู้กระทำ” และ “ผู้ถูกกระทำ” ก็ยังคงปรากฏอยู่ ในบางกรณี การชี้ชัดว่าใครเป็นฝ่ายผิดอาจช่วยให้การทวงถามความรับผิดชอบทำได้ง่าย แต่ในหลายสถานการณ์ที่ต้องการหาทางออกร่วมกัน การแบ่งคู่ตรงข้ามว่าใครเป็น “ผู้ร้าย” หรือ “เหยื่อ” กลับไม่ก่อให้เกิดการสื่อสารที่สร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น การขับเคลื่อนความหลากหลายทางเพศในปัจจุบันที่มีอัตลักษณ์ใหม่ ๆ เกิดมากขึ้น ก็ยังเจอปัญหาความไม่เข้าใจอยู่เสมอ และบางครั้งการตอบสนองของสมาชิกกลุ่มด้วยการโจมตีทันทีเมื่อถูกเข้าใจผิด ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของกลุ่มถูกมองว่าเปราะบาง ก้าวร้าว หรือสื่อสารยาก ซึ่งอาจลดโอกาสที่ผู้อื่นจะทำความเข้าใจอัตลักษณ์ใหม่ลง
ดังนั้น ในการผลักดันให้อัตลักษณ์ของมนุษย์ที่ถูกทำให้ลืมให้ได้รับการยอมรับ เราไม่ควรมองเพียงแค่การสร้าง “พื้นที่” แต่ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักรู้ และการสื่อสารที่ทุกฝ่ายสามารถประนีประนอมกันได้ เพื่อให้สังคมเติบโตไปพร้อมกับการยอมรับความหลากหลายอย่างแท้จริง
การสอดแทรกเสียงของผู้ถูกมองข้ามผ่านการเรียนการสอนและงานวิจัย
อ.นอตติ เล่าว่า ในงานสอนปัจจุบันพยายามสอดแทรกประเด็นของกลุ่มที่ถูกมองข้ามเข้าไปในรายวิชา เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นทางออกของปัญหาสังคมอย่างรอบด้าน เช่น ในการสอนเรื่องความเท่าเทียมทางเพศโดยใช้แนวคิดสตรีนิยม (Feminism) จะไม่เพียงแต่พูดถึงสิทธิของผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นผลกระทบของสังคมชายเป็นใหญ่ต่อผู้ชายเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเปราะบางของความเป็นชาย หรือข้อจำกัดที่ทำให้ผู้ชายไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ได้ การสอดแทรกมุมมองเช่นนี้ช่วยให้เห็นว่าความเท่าเทียมทางเพศเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ไม่ใช่เพียงเรื่องของเพศหญิง หรือการแปะป้ายให้เพศชายเป็น “ตัวร้าย” ในการถกเถียงเรื่องสิทธิสตรี
นอกจากงานสอนแล้ว อ.นอตติยังให้ความสำคัญกับการสื่อสารเพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น การเข้าร่วมงาน Voice of the Voiceless 2025 ของ สสส. ทำให้ได้เรียนรู้ประเด็นสิทธิสมรสเท่าเทียมจากคุณจำรอง แพงหนองยาง ตัวแทนจาก SWING ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ให้บริการทางเพศถูกกีดกันออกจากบทสนทนาเรื่องครอบครัวมาโดยตลอด เนื่องจากอคติที่ว่าอาชีพนี้ขัดต่อภาพจำของ “ครอบครัวที่ดี” ทั้งที่ในความจริง ผู้ประกอบอาชีพนี้ จำนวนหนึ่ง มีครอบครัวเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องหารายได้ ไม่ต่างจากกลุ่มอาชีพอื่น ๆ การตีตราจึงไม่เพียงสร้างภาระด้านอคติ แต่ยังซ่อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่จำกัดทางเลือกของคนกลุ่มนี้ไว้เบื้องหลังอีกด้วย
ในด้านงานวิจัยและบริการวิชาการ อ.นอตติได้มีส่วนร่วมในหลายโครงการที่เพิ่มโอกาสมองเห็นประสบการณ์ของกลุ่มที่ถูกมองข้าม เช่น กลุ่มคนไร้บ้าน ผู้พิการ แรงข้ามชาติ หรือ กลุ่มอัตลักษณ์ทับซ้อน อย่างกลุ่มความหลากหลายทางเพศรุ่นใหญ่ ซึ่งมักไม่ถูกพูดถึงทั้งในแวดวงผู้สูงอายุและงานด้านความหลากหลายทางเพศ การทำงานเหล่านี้ได้รับแรงหนุนจากการที่คณะมีคณาจารย์และเครือข่ายที่หลากหลาย ทำให้เกิดวัฒนธรรมการรับฟังเสียงจากหลายมุมมอง ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญหนึ่งที่ส่งเสริมให้การทำงานให้ความสำคัญของเสียงทุกคนมากที่สุดเท่าที่ทำได้ และเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้คณะเป็นอีกกลไกสำคัญหนึ่งในการขับเคลื่อนประเด็นความหลากหลาย
จากมุมมองและประสบการณ์ของ อ.นอตติ จะเห็นได้ว่าการเปิดพื้นที่ให้อัตลักษณ์ที่ถูกมองข้าม ไม่ได้หมายถึงแค่การ “มีที่ยืน” ในสังคมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้ง การสื่อสารอย่างประนีประนอม และการรับฟังเสียงที่หลากหลาย เพราะทั้งหมดนี้คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้สังคมก้าวไปสู่ความเท่าเทียมและน่าอยู่สำหรับทุกคน
เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค