“ห้องเรียนรวม” พื้นที่การเรียนรู้เพื่อสันติภาพและความเท่าเทียม สร้างสังคมที่เคารพความหลากหลาย

ห้องเรียนรวมไม่ใช่เพียงพื้นที่การเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้เรียนไปด้วยกัน แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างสันติภาพและความเท่าเทียมทางการศึกษา ในห้องเรียนที่ให้คุณค่ากับความแตกต่างหลากหลาย ผู้เรียนสามารถเติบโตตามศักยภาพของตนเอง ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ที่จะเคารพและอยู่ร่วมกับผู้อื่น แนวทางเช่นนี้ไม่เพียงช่วยสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัย แต่ยังหล่อหลอมทักษะทางสังคมที่จำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในระยะยาว
ในบทความนี้ LSEd Let’s Talk ชวนทุกท่านอ่านบทสัมภาษณ์จาก ผศ.ดร.ลินดา เยห์ หรือ อ.หลิน อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ทำงานเกี่ยวกับประเด็นการศึกษาเพื่อความเท่าเทียม ผ่านทั้งงานวิจัย งานสอน และการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ บทสนทนาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ห้องเรียนรวม” ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดทางการศึกษา แต่คือแนวทางปฏิบัติที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้เรียนและสังคมในวงกว้างได้จริง
เมื่อถามถึงความหมายของ “สันติภาพในห้องเรียนรวม” อ.หลินเริ่มต้นด้วยการชวนทำความเข้าใจคำว่า “ห้องเรียนรวม” (inclusive classroom) โดยอธิบายว่า ห้องเรียนลักษณะนี้คือการจัดการเรียนรู้ที่คำนึงถึงศักยภาพและความต้องการที่แตกต่างกันของผู้เรียนแต่ละคน ภายในห้องเรียนทั่วไป เรามักพบความหลากหลายในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ความสนใจ ลักษณะการเรียนรู้ รวมถึงจุดแข็ง และจุดที่ควรพัฒนา ครูที่ต้องการสร้างบรรยากาศแบบ “ห้องเรียนรวม” จึงจำเป็นต้องต้องมองผู้เรียนเป็นรายบุคคลและตระหนักว่าผู้เรียนแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (uniqueness) เพื่อออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความสามารถ ความสนใจ และความถนัดของแต่ละคน
ในมิติของการศึกษาพิเศษ ห้องเรียนรวมหมายถึงห้องเรียนที่ผู้เรียนซึ่งมีความต้องการพิเศษ ไม่ว่าจะด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การเคลื่อนไหว หรือการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ได้รับการดูแลด้านการเรียนรู้จากโรงเรียนอย่างทั่วถึง ขณะเดียวกันนักเรียนที่ไม่มีความต้องการพิเศษก็ได้รับการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเองเช่นกัน จุดประสงค์ของการเรียนรวมคือการที่ผู้เรียนทุกคนไม่ว่าจะมีความแตกต่างหลากหลายในด้านใดได้รับโอกาสในการพัฒนาศักยภาพตนเองผ่านการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม ดังนั้น ห้องเรียนรวมจึงเป็นห้องเรียนที่เชื่อว่า ความแตกต่างหลากหลายเป็นธรรมชาติของมนุษย์ และความแตกต่างไม่ใช่อุปสรรคแต่เป็นโอกาสในการเติบโตของทุกคน
อ.หลินเน้นย้ำว่า ห้องเรียนรวมคือการยอมรับว่า “ความแตกต่างคือธรรมชาติของมนุษย์” ความแตกต่างไม่ใช่อุปสรรค แต่คือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน สิ่งที่จะทำให้ห้องเรียนรวมเกิดขึ้นได้จริงคือการเข้าใจหลักแห่งความเสมอภาค (equity) กล่าวคือ การตระหนักว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความต้องการจำเป็นไม่เหมือนกัน ดังนั้น ครูควรให้การสนับสนุนที่สอดคล้องกับสิ่งที่แต่ละคนต้องการ มากกว่าที่จะให้เหมือนกันหมดทุกคน ความเสมอภาคจึงไม่ใช่การปฏิบัติที่เท่ากันทุกประการ แต่เป็นการถามว่า “ผู้เรียนคนนี้ต้องการการช่วยเหลืออย่างไร จึงจะสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ”
การสร้างบรรยากาศปลอดภัยและเคารพความหลากหลาย
อ.หลิน อธิบายว่า มีคำกล่าวสำคัญที่ว่า “There is no diversity without inclusion.” หมายถึง ความแตกต่างหลากหลายจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีวัฒนธรรมที่ยอมรับ เคารพ และเห็นคุณค่าของความแตกต่างหลากหลายนั้น ในบริบทของชั้นเรียน การสร้างวัฒนธรรมเช่นนี้อาจเกิดขึ้นผ่านกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน เช่น การที่ครูจัดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างแต่มีความสนใจร่วมกันได้ทำงานกลุ่มด้วยกัน (mixed ability grouping) โดยครูสอดแทรกการฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม พร้อมทั้งให้คำแนะนำเป็นระยะ
ห้องเรียนรวมที่มีประสิทธิภาพจึงเริ่มต้นจากความเชื่อว่า ผู้เรียนทุกคนมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในแนวทางของตนเอง ครูที่สามารถมองเห็นและส่งเสริมจุดแข็งของผู้เรียน จะทำให้เด็ก ๆ เห็นว่า ความแตกต่างของมนุษย์ไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นคุณค่าที่ช่วยให้ทั้งตนเองและเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้พัฒนาไปพร้อมกัน ดังนั้น ห้องเรียนที่เข้าใจ เคารพ และให้คุณค่ากับความหลากหลายเช่นนี้ จึงกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ผู้เรียนสามารถเป็นตัวของตัวเอง ได้เรียนรู้การรู้จักและยอมรับตนเอง ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่แตกต่างในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกายภาพ ความคิด ความถนัด ความเชื่อ หรือความสามารถ และใช้ความแตกต่างเหล่านั้นเป็นพลังสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณค่าร่วมกับผู้อื่น นำไปสู่สมดุลระหว่างการเติบโตของแต่ละบุคคลและการเติบโตของทั้งกลุ่ม

การออกแบบการเรียนรู้เพื่อผู้เรียนที่แตกต่างหลากหลาย
อ.หลิน มองว่า หนึ่งในความท้าทายสำคัญของการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม คือการที่ครูต้องสร้างสมดุลในการเรียนรู้ ครูจำเป็นต้องออกแบบบทเรียนที่ไม่น่าเบื่อหรือง่ายเกินไป ขณะเดียวกันก็ไม่ยากจนเกินกำลังผู้เรียน นอกจากนั้น ผู้เรียนทุกคนทั้งที่มีความต้องการพิเศษและไม่มีความต้องการพิเศษควรได้รับการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับระดับความสามารถ ความสนใจ และสิ่งที่ควรเรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ รวมถึงต้องรู้สึกปลอดภัยที่จะเรียนรู้เพื่อการเติบโตของตัวเองและเรียนรู้ที่จะเคารพผู้อื่นไปพร้อมกัน
ในเชิงทฤษฎี ครูสามารถปรับชั้นเรียนให้สอดรับกับผู้เรียนที่มีความหลากหลายใน 4 ด้านด้วยกัน ได้แก่
(1) การปรับเนื้อหา ครูอาจใช้เรื่องเดียวกันในการเรียนการสอน แต่ปรับระดับความยากง่ายของเนื้อหาให้เหมาะสมกับทักษะของผู้เรียนแต่ละคน รวมถึงเพิ่มเนื้อหาที่ท้าทายยิ่งขึ้นสำหรับผู้เรียนที่พร้อมต่อยอดความรู้ ทั้งนี้ ครูต้องมีการประเมินก่อนสอนเพื่อให้เข้าใจศักยภาพและความรู้พื้นฐานของผู้เรียน
(2) การปรับกระบวนการสอน ครูสามารถใช้สื่อและวิธีการที่หลากหลาย เช่น การทำงานกลุ่ม การจัดมุมเรียนรู้ หรือเปิดโอกาสให้นักเรียนเลือกหัวข้อที่สนใจ เพื่อให้การเรียนรู้เข้าถึงผู้เรียนได้หลากหลายรูปแบบ
(3) การปรับวิธีการประเมิน แทนที่จะใช้วิธีเดียว ครูอาจเปิดทางให้นักเรียนเลือกว่าจะส่งงานในรูปแบบใด รวมถึงยืดหยุ่นเวลาและปรับระดับความยากของโจทย์ให้เหมาะสมกับแต่ละคน เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
(4) การปรับบรรยากาศการเรียนรู้ ทั้งในด้านกายภาพและวัฒนธรรมของห้องเรียน เช่น การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การทำข้อตกลงร่วมกัน และการทำความรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลเพื่อส่งเสริมจุดแข็งของแต่ละคน โดยครูเองต้องทำหน้าที่เป็นต้นแบบของการเคารพความหลากหลายและสนับสนุนให้นักเรียนเติบโตตามทางของตนเอง
อ.หลินทิ้งท้ายว่า หลักการทั้ง 4 ข้อนี้เป็นเพียงแนวทางที่ช่วยให้ครูทบทวนและตั้งคำถามกับการสอนของตนเอง เพราะรูปแบบที่ใช้จนคุ้นเคยอาจไม่ตอบโจทย์ห้องเรียนที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง ที่สำคัญ ครูควรมองเห็น “ความเป็นไปได้” ใช้ความสร้างสรรค์และการทดลองหาวิธีที่เหมาะกับห้องเรียนของตัวเอง เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกันอย่างมีความสุข

ห้องเรียนรวมกับผลกระทบต่อสังคมในอนาคต
อ.หลิน ให้ความคิดเห็นว่า ห้องเรียนรวมเป็นเสมือนภาพสะท้อนของสังคมที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย การสร้างห้องเรียนที่ให้คุณค่ากับสันติภาพและความเท่าเทียม จึงเปรียบได้กับการเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนเป็นพลเมืองโลกที่เปิดกว้างต่อความหลากหลายของมนุษย์ โดยเฉพาะในยุคที่สังคมกำลังขับเคลื่อนประเด็นด้านความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายทางเพศ วัฒนธรรม หรือรูปแบบการเรียนรู้ ผู้ที่เติบโตจากห้องเรียนลักษณะนี้จะเห็นความสำคัญของประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน การรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย และการเปิดใจต่อความเป็นไปได้ใหม่ ๆ
เมื่อผู้เรียนเหล่านี้เข้าสู่โลกการทำงาน โดยเฉพาะในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลาย (workplace diversity) พวกเขาจะเข้าใจความสำคัญของความหลากหลายของมนุษย์ พร้อมปรับตัวต่อความแตกต่างทางความคิด วัฒนธรรม หรือความเชื่อ รวมถึงสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างจากตนเองได้ เหล่านี้เป็นคุณลักษณะที่องค์กรต้องการ
ในระดับสังคมวงกว้าง อ.หลิน เชื่อว่าผู้ที่ผ่านประสบการณ์ห้องเรียนรวมซึ่งบ่มเพาะความละเอียดอ่อนต่อความหลากหลายของมนุษย์ จะกลายเป็นผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนในหลายมิติ มีความตระหนักรู้ร้อนรู้หนาวต่อประเด็นที่โลกกำลังเผชิญ และพร้อมเป็น “เสียง” ที่ช่วยปลุกให้ผู้คนตระหนักถึงคุณค่าของสันติภาพ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
โครงการและงานวิชาการที่เชื่อมโยงกับห้องเรียนรวม
อ.หลิน เล่าว่า ขณะนี้กำลังศึกษาและทำงานเกี่ยวกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้โดยใช้จุดแข็งเป็นฐาน (Strengths-based Education) ซึ่งมองว่าการจัดการศึกษาไม่ควรเน้นเพียงการแก้ไขจุดอ่อน แต่ควรส่งเสริมให้นักเรียนได้รู้และใช้จุดแข็งหรือความถนัดของตนเองเป็น “ต้นทุน” ในการเติบโตตามศักยภาพของตนเอง อ.หลินเล่าต่อว่า ประเด็นที่สนใจศึกษา คือ การใช้แนวคิดนี้ในบริบทของการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งห้องเรียนทั่วไป ห้องเรียนรวม และห้องเรียนเฉพาะสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
นอกจากนี้ อ.หลิน ยังสอนรายวิชาที่มุ่งเน้นการเรียนรู้แบบเรียนรวม เช่น รายวิชา วรศ. 333 การศึกษาพิเศษและการเรียนรวม ในระดับปริญญาตรี และ MLI 613 Pathway to Inclusive Education ในระดับปริญญาโทออนไลน์ วิชาเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจหลักการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ฝึกทักษะการสอนผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ และเรียนรู้วิธีการสื่อสารกับสังคมเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนที่มีความแตกต่างหลากหลาย รายวิชาทั้งสองจึงเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ในการบ่มเพาะให้ผู้เรียนตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างสังคมที่โอบรับและให้คุณค่ากับความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์
การทำงานของ อ.หลิน แสดงให้เห็นว่าการศึกษาไม่ใช่เพียงการถ่ายทอดความรู้ แต่คือการสร้างพื้นที่ที่ทุกคนมีคุณค่าในแบบของตนเอง ตั้งแต่แนวคิดการเรียนรู้โดยใช้จุดแข็งเป็นฐาน ไปจนถึงการออกแบบรายวิชาและกิจกรรมที่สนับสนุนการเรียนรวม ล้วนสะท้อนเจตนารมณ์ในการผลักดันให้การศึกษาเป็นรากฐานของสังคมที่เท่าเทียมและสันติ เมื่อผู้เรียนเติบโตขึ้นพร้อมความเข้าใจและการเคารพต่อความหลากหลาย ย่อมเป็นพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนสังคมไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน
เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค