Loading...

“เด็กคือพลังสร้างสรรค์อนาคต” การพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านกระบวนการละครและการเรียนรู้: ศาสตร์แห่งการเสริมพลัง สร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำ

        ในยุคปัจจุบัน การพัฒนาเด็กและเยาวชนเผชิญความท้าทายที่หลากหลาย สังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาส่งผลให้แนวทางการพัฒนาต้องปรับเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่เพียงการส่งเสริมความรู้เชิงวิชาการ แต่ยังต้องคำนึงถึงการพัฒนาทักษะทางอารมณ์ สังคม ความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างความมั่นใจในตนเอง เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเติบโตอย่างสมดุลและมีศักยภาพเต็มที่ในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ดีขึ้น

        ศาสตร์แห่งศิลปะ และการละคร ได้กลายเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนาเด็ก การใช้ละครเป็นสื่อกลางช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่เด็กสามารถแสดงออกถึงความคิดและอารมณ์ได้อย่างอิสระ ผ่านบทบาทสมมติและการเล่าเรื่อง ให้เด็กเรียนรู้ที่จะเข้าใจตนเองและผู้อื่น อีกทั้งยังเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน และความมั่นใจในตนเอง กระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยลดอุปสรรคด้านการสื่อสารและการแสดงออก แต่ยังเป็นสะพานที่เชื่อมโยงเด็กสู่การพัฒนาอย่างหลากหลายมิติ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคม

        LSEd Let’s Talk ชวนสำรวจมุมมองและแรงบันดาลใจจาก ผศ.ดร.ปวลักขิ์ สุรัสวดี หรือ อ.เปา อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ที่มีความสนใจและประสบการณ์ในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ผ่านกระบวนการละครและศิลปะที่สร้างการเปลี่ยนแปลง ในบทความนี้ เราจะได้พูดคุยถึงการนำศาสตร์ละครมาใช้เพื่อพัฒนาทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ และเสริมพลังเพื่อสู้กับช่องว่างของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสำหรับเด็กชายขอบ พร้อมข้อคิดที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นทำงานด้านนี้

        การใช้ศิลปะเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นหนึ่งในกระบวนการที่มีพลังและสร้างผลกระทบอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กชายขอบที่ต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการศึกษา อ.เปา ได้เล่าถึงแรงบันดาลใจ แนวทางการทำงาน และความท้าทายที่พบเจอจากประสบการณ์ตรง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน

จุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจ

        “อะไรคือสิ่งที่ทำให้อาจารย์สนใจงานที่เชื่อมโยงศิลปะกับการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรก?” คำถามนี้เปิดโอกาสให้ อ.เปา ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของความหลงใหลในการใช้ศิลปะ โดยเฉพาะกระบวนการละคร อ.เปา เชื่อว่าศิลปะไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่สำหรับการแสดงออก แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยเปิดใจ สร้างความมั่นใจ และปลูกฝังทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ให้กับเด็กและเยาวชน การได้เห็นเด็กที่เริ่มต้นด้วยความขาดแคลนทั้งด้านโอกาสและทรัพยากรสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองจนเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีความมั่นใจและสามารถยืนหยัดในสังคมได้ เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้อาจารย์เดินหน้าทำงานนี้ต่อไป

        รวมถึงการได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและมีความสนใจด้านศาสตร์ทางศิลปะ อย่าง อาจารย์รัศมี เผ่าเหลืองทอง ซึ่งพาไปจัดค่ายกับเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ทำให้ อ.เปา เริ่มตระหนักว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามีและจะคงอยู่ หากไม่มีใครลงมือทำสิ่งนี้อย่างจริงจัง การได้ร่วมงานกับ คุณเสาวนีย์ วงศ์จินดา และ คุณบุญพงษ์ พานิช นักการละครผู้เชี่ยวชาญที่สร้างแรงบันดาลใจให้ไม่สิ้นสุด เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญ ทั้งสองช่วยชี้ให้เห็นถึงการนำศิลปะมาสร้างการเชื่อมโยงระหว่างเด็กกับชุมชน เช่น การค้นหาต้นทุนในพื้นที่และถ่ายทอดออกมาเป็นละครที่เล่าเรื่องราวชีวิตเด็ก การทำงานนี้สอนให้ อ.เปา เชื่อมั่นว่า เด็กจะเติบโตได้ เมื่อเขามองเห็นคุณค่าของบ้านเกิดและได้รับโอกาสที่เหมาะสม

        นอกจากนี้ อ.เปา ยังมองว่าการทำงานพัฒนาเด็กและเยาวชนไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยคนเพียงคนเดียวหรือกระบวนการใดเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการร่วมมือกันของกลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน และการทำงานร่วมกันของเครือข่ายที่หลากหลาย ซึ่งช่วยผลักดันให้เด็กได้เรียนรู้และมีชีวิตที่ดีขึ้น อ.เปา เปรียบตัวเองเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ ที่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้ร่วมอุดมการณ์ช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ โครงการต่าง ๆ ที่ร่วมกันทำจึงไม่ได้หยุดแค่การสร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กเท่านั้น แต่ยังขยายผลผ่านงานวิชาการและกระบวนการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมศักยภาพและชีวิตที่ดีขึ้นของเด็กทุกคนในระยะยาว

การสร้างการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงในเด็ก

        อ.เปา เล่ามุมมองจากประสบการณ์ของตนว่า กระบวนการเรียนรู้ร่วมกับชุมชนช่วยพัฒนาทักษะหลายด้านในตัวเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจ การพัฒนาทักษะการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม และการสร้างความเข้าใจในตัวเองและผู้อื่น เด็ก ๆ จะสามารถคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนทำงานเป็นทีมและมองหาเป้าหมายในชีวิต

        กระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้แก่ ละครสร้างสรรค์ และ ละครเยาวชนฐานชุมชน ได้รับการนำมาใช้เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็ก โดยเปิดโอกาสให้เด็กเชื่อมโยงกับชุมชนผ่านการสร้างเรื่องเล่าจากประเด็นที่ตนเองสนใจ กระบวนการนี้ส่งเสริมทักษะการทำงานเป็นทีม ความมั่นใจ และความเข้าใจตนเอง เด็กได้พัฒนาทั้งทางกาย อารมณ์ และสังคม เช่น การทำละครที่สะท้อนความเป็นอยู่ในชุมชนช่วยให้พวกเขาเห็นคุณค่าของบ้านเกิดและมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ตนสามารถสร้างขึ้นได้

        นอกจากนี้ กระบวนการ Active Learning และ Problem-based Learning ช่วยให้เด็กเรียนรู้จากปัญหาในชีวิตจริงและค้นพบวิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนการเสริมพลังแก่ตัวเด็กจากผู้ปกครอง ครูและผู้ดูแลเป็นสิ่งสำคัญ อ.เปา ยังสะท้อนว่าการทำงานกับเครือข่าย เช่น ครู ผู้ปกครอง และชุมชน เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่เพียงพัฒนาเด็ก แต่ยังสร้างความยั่งยืนที่ส่งผลต่อระบบการศึกษาโดยรวม

ความท้าทายและแนวทางสร้างความเปลี่ยนแปลงในเด็กชายขอบ

        อ.เปา ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดและความท้าทายในการทำงานกับเด็กชายขอบ เช่น การขาดทรัพยากร การสนับสนุนที่ไม่เพียงพอจากระบบสังคม และปัญหาความเหลื่อมล้ำในโครงสร้างทางสังคมที่ทำให้เด็กเหล่านี้เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา รวมถึงการถูกตีตราจากสังคม ข้อจำกัดเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่ต่อเนื่องของกระบวนการพัฒนาเด็กที่มักต้องใช้เวลาและการสนับสนุนระยะยาว

        อย่างไรก็ตาม อ.เปาเน้นว่า เด็กและเยาวชนต้องการกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ นอกห้องเรียนเพราะจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างความเป็นผู้ก่อการ (Agency) ให้เด็กมีความสามารถตั้งคำถามกับตัวเองและสิ่งรอบตัว เพื่อพัฒนาทักษะการจัดการปัญหาและสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง นอกจากนี้ การพัฒนา ‘นิเวศการเรียนรู้’ ที่แข็งแกร่งและครอบคลุมหลายมิติ เช่น การสนับสนุนจากครู การมีส่วนร่วมของชุมชน และความร่วมมือจากเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ การสนับสนุนจากองค์กรเอกชนจะช่วยให้เด็กได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและมีการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในชีวิต

        สำหรับผู้ที่สนใจเริ่มต้นทำงานพัฒนาเด็ก อ.เปา เน้นถึงความสำคัญของการเปิดใจเรียนรู้จากเด็ก เข้าใจบริบทของพวกเขา และมีความตั้งใจที่แน่วแน่ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและยั่งยืนต้องใช้เวลา ความอดทน และการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายเพื่อช่วยพัฒนาชีวิตของเด็กให้มีคุณภาพมากขึ้นในระยะยาว

        สุดท้ายนี้ งานด้านการพัฒนาเด็กผ่านกระบวนการเรียนรู้และศาตร์การละครยังสะท้อนถึงปรัชญาการเรียนรู้แบบองค์รวมที่คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ความสำคัญ การบูรณาการศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาของเด็กไม่เพียงแต่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย และสร้างอนาคตที่ดียิ่งขึ้นสำหรับเด็กและเยาวชนทุกคน

เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค