Loading...

สรุปประเด็นสำคัญจาก Forum “Handle with Care” การสื่อสารสำหรับผู้ให้บริการทางสุขภาพกับความหลากหลายทางเพศ

        เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ Bangkok Pride 2025 เปิดวงเสวนาพูดคุยในประเด็นเรื่อง “ความหลากหลายทางเพศ” ในธีม “เกิด แก่ เจ็บ โต” Caring for Every Way of Being ณ LIDO CONNECT (HALL 3) ดำเนินการโดยคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยความร่วมมือกับ Bangkok Pride และการสนับสนุนจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

        กิจกรรม Forum “Handle with Care” การสื่อสารสำหรับผู้ให้บริการทางสุขภาพกับความหลากหลายทางเพศ การถอดบทเรียนและทำความเข้าใจร่วมกันว่า “บางคำพูดก็เจ็บไม่แพ้โรค” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้รับบริการคือกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ วงเสวนาที่ชวนทุกคนร่วมรับฟังประสบการณ์ทั้งในมุมของผู้ให้และผู้รับบริการทางสุขภาพ และทำความเข้าใจว่า การสื่อสารและการตระหนักถึงความละเอียดอ่อนทางเพศอย่างเข้าใจ ไม่เพียงแต่ช่วยเยียวยา แต่ยังสามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพได้อย่างแท้จริง โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมี หมอโอ๋ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หัวหน้าสาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้ก่อตั้งเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” หมอปิแอร์ ผศ.นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี คุณโน้ต รตี แต้สมบัติ ผู้อำนวยการเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และผศ.สกล โสภิตอาชาศักดิ์ อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้เกียรติเป็นพิธีกรผู้ดำเนินวงเสวนาในหัวข้อนี้

การสื่อสารระหว่างผู้ให้บริการสุขภาพกับผู้รับบริการสุขภาพมีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อผู้รับบริการสุขภาพอย่างไรบ้าง

        หมอโอ๋ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หัวหน้าสาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้ก่อตั้งเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” กล่าวไว้โดยสรุปว่า ในสถานบริการสุขภาพหลายแห่งยังขาดความละเอียดอ่อนทางเพศ (gender sensitivity) ทำให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือคนข้ามเพศรู้สึกไม่สบายใจในการเข้าใช้โรงพยาบาล

        ซึ่งความละเอียดอ่อนทางเพศด้านคำนำหน้าชื่อ นอกจากจะส่งผลด้านจิตใจของผู้รับบริการแล้ว ยังส่งผลไปยังระบบบริการสุขภาพด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ระบบการแยกห้องผู้ป่วย การเข้ารับการตรวจรักษา หรือการรับคำแนะนำในการรักษา เป็นต้น

        “มันยังขาดความละเอียดอ่อนกับประเด็นเหล่านี้ ในโรงพยาบาลก็จะเจอคำเรียกคุณผู้หญิงคุณผู้ชาย โดยที่เรียกตามคำนำหน้าตามบัตรประชาชน มันก็จะทำให้คนที่เขาเข้ามารับบริการไม่รู้สึก comfort กับการถูกเรียกตรงนั้น”

        “คนที่เขาเป็นคนข้ามเพศ แต่ว่าเขาอาจจะต้องมีตรวจภายในหรืออะไรก็ตามเขาไปนั่งอยู่แผนกสูติเขาก็จะถูกมองว่ามาทำไม ทำไมมานั่งตรงนี้”

        “การแอดมิดตอนนี้วอร์ดก็ยังต้องเป็นตามคำนำหน้า…ซึ่งมันก็อาจทำให้เกิดความไม่สะดวกใจ ทำให้คนข้ามเพศจำนวนหนึ่งต้องยอมจ่ายเพื่อจะอยู่ห้องพิเศษ”

        “กรณีของตัวเองที่เจอก็คือ นักศึกษาแพทย์ซักประวัติวัยรุ่นผู้ชาย เขาถามว่ามีแฟนหรือยัง ก็ตอบว่ามีแฟน ก็พูดไปเรื่องการให้คำแนะนำ การคุมกำเนิดไหม รู้จักยาคุมฉุกเฉินหรือเปล่า…ปรากฏว่า แฟนเขาเป็นผู้ชาย”

        “ประเด็นการสื่อสารในวงการแพทย์เรา จริง ๆ เราก็ยังไม่ได้มีการอบรม หรือทำให้เรามีความเข้าใจเซนซิทีฟในด้านนี้เยอะ”

ประสบการณ์ของผู้เข้ารับบริการสุขภาพที่ผ่านมาเป็นอย่างไร

        คุณโน้ต รตี แต้สมบัติ ผู้อำนวยการเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน เล่าว่าตนเองเคยมีประสบการณ์ตรงที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศต้องเผชิญในระบบบริการสุขภาพของรัฐไว้ ดังนี้

        ความล่าช้าในการเข้ารับบริการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกที่ต้องใช้เวลารอคิวนานกว่า 2 ปี

        “เดี๋ยวต้องถามคุณหมอว่าเพราะอะไรการทำศัลยกรรมเพื่อการข้ามเพศถึงต้องใช้เวลาถึงสองปี”

        คำนำหน้าและวอร์ดที่ไม่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศ

        “โน้ตไปด้วยคำนำหน้าว่า นายรตรี สิ่งที่เจ้าหน้าที่ทำก็คือ บอกว่าต้องไปนอนห้องชาย”

        “เราทำศัลยกรรมเพื่อการข้ามเพศเราผ่าตัดหน้าอกมาใช่ไหมคะ เราต้องไปนอนกับผู้ป่วยชายซึ่งเราไม่รู้ว่าเป็นใครหนึ่งคือเรารู้สึกอึดอัดคับข้องใจ แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้”

        เอกสารบนซิลิโคนที่ไม่รองรับอัตลักษณ์

        “ใช้ซิลิโคนรุ่นอะไรวันที่เท่าไหร่ และในนั้นเค้ายังบอกว่าผู้ถือครองซิลิโคนนี้คือ นายรตี แต้สมบัติค่ะ ซึ่งเรารู้สึกว่า เรากำลังทำศัลยกรรมเพื่อการข้ามเพศ เพื่อเป็นอีกเพศหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราจะพึงพอใจ มีรูปร่างรูปลักษณ์แบบที่บรรทัดฐานทางสังคมกำหนด แต่ในใบนั้นเป็นใบเขียนมือ ยังถูกระบุว่าเป็นนายรตี”

        เห็นความพยายามของบุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้ข้อจำกัดของระบบ

        “เราเห็นว่าบุคลากรทางการแพทย์พยายามแสดง empathy ทั้งในเรื่องการจัดห้องพักที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะให้นอนห้องผู้ชาย แต่หลังจากนั้นก็มีคุณหมอโทรมาบอกว่า เข้าใจนะคะว่าคุณมาทำศัลยกรรมหน้าอก คุณเป็นผู้หญิงข้ามเพศ…เราจะจัดให้คุณอยู่ในห้องผู้ชายที่เป็นชายสูงอายุซึ่งเขาจะไม่หือไม่อือ เขาจะมีพฤติกรรมที่น่ารัก”

        “ซึ่งโน้ตเห็นได้ถึงความมี empathy แต่ด้วยระบบที่มันพยายามที่จะแยกคนออกเป็นแค่ชายและหญิง ตามคำนำหน้านามที่ถูกระบุไว้ตามอวัยวะเพศตอนเกิด”

        “แต่พอโน้ตไปแอดมิทจริง ๆ กลายเป็นว่าพี่พยาบาลที่อยู่ในวอร์ดมากระซิบว่า พี่ได้ไปคุยกับผู้ป่วยหญิงแล้ว เขาโอเคที่จะพักกับน้องที่เป็นสาวประเภทสองเป็นผู้หญิงข้ามเพศเป็นกระเทย โน้ตจึงได้นอนกับผู้ป่วยที่เป็นเพศหญิงโดยกำเนิด”

        อีกมุมหนึ่ง ก็รู้สึกว่าตนเองเป็นตัวปัญหาที่บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนจะต้องหาทางแก้ไขกันเอง ทั้งที่  สิ่งนี้ถือเป็นหน้าที่ของรัฐ

        “อีกมุมนึงคือ เรารู้สึกว่าเราก็กลายเป็นตัวปัญหานะ เราถูกทำให้เป็นตัวปัญหาที่ทุกคนจะต้องมาแก้ไขซึ่งเอาจริง ๆ เราคิดว่า รัฐควรจัดการ ควรมีทางเลือกให้กับคนมากกว่า”

        การสื่อสารสาธารณะของหน่วยงานหรือองค์กรทางการแพทย์ต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีการสื่อสารทางสังคมออนไลน์ที่เชื่อมโยงอัตลักษณ์ทางเพศเข้ากับโรคระบาด เช่น ฝีดาษลิง เอดส์ HIV เป็นต้น

        “เราเห็นการสื่อสารที่พยายามจะเอาอัตลักษณ์ทางเพศไปเชื่อมโยง แล้วมันก่อให้เกิดความตีตรารวมใช่ไหมคะ ว่าคนที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน คนที่เป็นคนข้ามเพศ เป็นตัวแพร่เชื้อ”

บุคลากรทางการแพทย์เคยประสบปัญหาที่ระบบเป็นอุปสรรคต่อการทำงานร่วมกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างไรบ้าง

        หมอปิแอร์ ผศ.นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ปัญหาเรื่องการสื่อสารและคำนำหน้าชื่อของผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถพบเจอได้เป็นประจำ เนื่องจากถูกบันทึกไว้ในเวชระเบียนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่บุคลากรทางการแพทย์เองก็พยายามเรียนรู้เรื่อง gender sensitivity อย่างสุดความสามารถ ถึงแม้จะยังไม่ครอบคลุมทั้งโรงพยาบาล แต่ก็เข้าใจได้ เนื่องจากถึงแม้ตนเองกำลังดำเนินการด้านนี้อย่างใกล้ชิดยังเกิดความผิดพลาดในบางครั้งได้

        มีการให้คนไข้ แจ้งชื่อ ที่อยากให้บุคลากรทางการแพทย์เรียก

        “คำถามแรกเลย คือ what is your preferred name? ชื่อที่อยากให้ผมเรียกคือชื่ออะไร”

        “คุณพยาบาลหลังห้องผม มีชื่อจริง ชื่อนามสกุล แล้วก็มี ชื่อที่อยากให้เรียก และให้เรียกคำนำหน้าเป็น คุณ เสมอ”

        จากความผิดพลาดของตนเอง ทำให้เข้าใจได้ว่า แม้แต่ผู้ที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเองก็ยังเกิดความผิดพลาดในการสื่อสาร ดังนั้น การปรับเปลี่ยนในระดับที่กว้างขึ้น คงต้องใช้เวลาพอสมควรในการเรียนรู้

        “ผมเคยตรวจ transwoman ผมก็พูดไปว่าตัดไข่ไปเมื่อไหร่ครับ เค้าก็พูดว่าเออพี่ไม่ได้ยินคำว่าไข่มาแล้วหลายปีเลยนะคะ”

        “บางทีเราก็พลาดเหมือนกันเนอะ ขนาดเราทำงานอยู่ทุกวัน แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ไม่ได้เข้ามาอยู่ใน field นี้”

        “เราพยายาม drive เรื่องวอร์ด ไม่รู้กี่แบบ คุยกับผู้บริหารไม่รู้กี่รอบ…คำตอบสุดท้ายก็เหมือนเดิม

หากบุคลากรทางการแพทย์ขาดความละเอียดอ่อนทางเพศ (gender sensitivity) จะส่งผลอย่างไรบ้าง

        หมอโอ๋ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หัวหน้าสาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้ก่อตั้งเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” ให้ความคิดเห็นว่า การขาดความละเอียดอ่อนทางเพศส่งผลให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่สบายใจ ไม่ไว้วางใจในการรับคำปรึกษาหรือรับบริการสุขภาพ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และการรักษาของแพทย์ในอนาคตเช่นเดียวกัน

        ผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่อยากเข้ารับการรักษาในระบบบริการสุขภาพเนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่โอบรับต่อความหลากหลาย ส่งผลกระทบให้ความเชื่อใจที่ผู้ป่วยมีต่อแพทย์ลดลง

        “มาแล้วมันเป็นรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่ไม่ได้โอบรับกับความหลากหลายของเรา มันเป็นการตีตรา”

        “ความเป็นแพทย์ที่ไม่เข้าใจ เราจะเจออยู่บ่อย ๆ ก็ ‘ทำไมอยู่ดี ๆ เป็นผู้ชายดี ๆ ไม่ชอบ’ ไปถามคนไข้แบบนี้ หรือแบบ ‘ชอบผู้ชายแล้วทำไมไม่ได้เป็นผู้หญิงหรอ’ มันยังมีความไม่เข้าใจอะไรแบบนี้ ทำให้คนไข้รู้สึกอึดอัด”

        “รู้สึกมันเหมือนต้องมารับบริการกับคนที่ไม่เห็นตัวตนของเรา ไม่มีความเข้าใจอะไรในตัวเรา ทำให้ trust ที่คนไข้มีกับแพทย์น้อยลง ทำให้เวลาให้คำแนะนำอะไรมันก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ”

        ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้มีความหลากหลายทางเพศ

        “คิดว่ามันทำให้เกิดผลกระทบหลักๆเลยคือสภาวะสุขภาพของผู้รับบริการที่แย่ลง”

        ส่งผลกระทบต่อการรักษาของแพทย์ในอนาคต

        “เรื่องระบบสุขภาพ…สมมุติปัญหาบางอย่างป้องกันได้ตั้งแต่ต้น กินยาบางอย่างแล้วดีขึ้นได้เลย ปรากฏว่าบางทีเราอาจจะได้มาดูคนเหล่านี้เมื่อแย่แล้วหนักแล้วใช้ resource เยอะ ใช้เงินต่าง ๆ ของประเทศเยอะขึ้น ทั้งที่จริง ๆ มันเป็นปัญหาที่ควรจะเข้าถึงได้ง่าย แล้วก็ป้องกันได้ตั้งแต่แรก แต่เพราะว่าระบบบริการที่ไม่เป็นมิตร ทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกว่า เขาไม่อยากเข้ามาใช้ระบบนี้รับบริการ”

        หมอปิแอร์ ผศ.นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวเสริมว่า การที่จะได้มาซึ่งข้อมูลประวัติส่วนตัวของผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญมากในการรักษา ดังนั้น หากผู้ป่วยที่มีความหลากหลายทางเพศไม่เชื่อใจแพทย์ การได้มาซึ่งข้อมูลนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน นอกจากนั้น การขาดความละเอียดอ่อนเรื่องความหลากหลายทางเพศ อาจส่งผลถึงคุณภาพในการรักษาในบางกรณีเช่นกัน

        คุณโน้ต รตี แต้สมบัติ ผู้อำนวยการเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวในมุมของผู้รับบริการโดยสรุปไว้ว่า หากบุคลากรทางการแพทย์ไม่มีความละเอียดอ่อนจะส่งผลให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่ต้องการเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพจริง โดยยกตัวอย่างกรณีที่ตนเองติดโควิดและต้องเลือกระหว่างจะเข้ารับบริการโรงพยาบาลภาคสนามของภาครัฐหรือตัดสินใจไม่เข้ารับการรักษา

        “เราจะไปโรงบาลสนามหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่า เราต้องถูกให้นอนห้องชาย หรือเราเลือกที่จะซ่อนตัวเอง แล้วไม่บอกว่าเราเป็นโควิด แต่สุดท้ายก็เข้าสู่ระบบนะคะเพราะว่ากลัวตาย”

        “เราก็ต้องจำยอมเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพที่ไม่ได้มีความละเอียดอ่อน…ตอนนั้นที่เราจะต้องไปอยู่โรงพยาบาลรัฐ จะต้องอยู่ห้องชายรวม ซึ่งมันเป็นภาวะที่เครียด มันไม่ได้อยู่เป็นวันสองวันนะคะ มันต้องอยู่เป็นเดือน …ทำให้เราสะท้อนว่า เราก็ไม่อยากจะเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพที่เป็นแบบนี้”

        นอกจากนั้น การขาดความละเอียดอ่อนในประเด็นนี้ ยังอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรทางสุขภาพด้วยเช่นกัน เนื่องจากในปัจจุบัน ผู้คนกำลังรณรงณ์ให้หน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและความหลากหลายทางเพศ ดังนั้น หากหน่วยงานทางสุขภาพยังขาดความละเอียดอ่อน ก็อาจทำให้ภาพลักษณ์เกิดความเสียหายได้ในอนาคต

สาเหตุของปัญหานี้คืออะไร และควรมีแนวทางการแก้ไขอย่างไรต่อไป

        หมอปิแอร์ ผศ.นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า รากของปัญหาอาจเกิดจากความต่างของช่วงวัย (generation gap) ซึ่งแม้ตนเองจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในสังคมและบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ที่เปิดรับความหลากหลายทางเพศแล้ว แต่ยังคงมีบุคลากรอาวุโส โดยเฉพาะในระดับผู้บริหาร ที่ยังขาดความเข้าใจและไม่เปิดรับ แต่เราเองก็จะพยายามป้อนข้อมูลให้กับบุคลากรอาวุโสอยู่เป็นระยะ และการขับเคลื่อนโดยภาคประชาชนก็มีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการแก้ไขปัญหาในประเด็นนี้

        “ผมคิดว่า ความไม่เข้าใจ แล้วก็ความไม่เปิดรับในคนบางกลุ่ม ซึ่งอาจจะเป็นส่วนน้อย แต่เป็นคนที่มีอำนาจ และเป็นคนที่ตัดสินใจในการบริหารโรงพยาบาล”

        “ผมเคยพูด Joke กับพวกน้อง ๆ ว่า คงต้องรอให้พวกผู้บริหารตายให้หมดก่อน โรงพยาบาลถึงจะทำได้”

        หมอโอ๋ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หัวหน้าสาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้ก่อตั้งเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” กล่าวเห็นด้วยกับหมอปิแอร์ ว่ารากของปัญหาคือเหล่าผู้บริหารที่ไม่มีความเข้าใจกับเรื่องนี้ แต่เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ เนื่องจากวงการทางการแพทย์ในอดีต ถูกสอนว่าความเป็นเพศหลากหลายคือความผิดปกติ ดังนั้น การจะเปลี่ยนแปลงความคิดของคนเหล่านี้จึงเป็นเรื่องยากและมีความท้าทาย แต่เรายังพยายามขับเคลื่อน และมีความหวังกับการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเสมอ และสิ่งสำคัญคือแรงกระเพื่อมจากสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการผลักดันเรื่องความหลากหลายทางเพศ

        “ยุคหนึ่งจะถูกสอน gender identity disorder เป็นเรื่องความผิดปกติ เพราะฉะนั้นการจะไปเปลี่ยน mindset หรืออะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และไม่ง่าย”

        นอกจากนั้น ยังเล่าถึงความเป็นมาและความท้าทายในการเปิดคลินิกดูแลผู้มีความหลากหลายทางเพศที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แต่ในท้ายที่สุด จากการพูดคุย ใช้งานวิจัยและข้อมูลจากต่างประเทศยืนยัน ก็สามารถเปิดคลินิกได้ในที่สุด

        ในตอนแรกถูกผู้บริหารบอกให้ปิดข่าว แต่เรายังยืนยันจะเปิดเป็นสาธารณะ

        “คลินิกเพศหลากหลายเราอยากจะขอตั้งที่รามาฯ ซึ่งถือเป็นคณะแพทย์ที่ถือว่ามีความก้าวหน้าที่สุดคณะหนึ่ง จำได้เลยว่า ผู้บริหารก็บอกว่า เปิดได้นะ แต่ทำเงียบ ๆ อย่าให้ใครรู้”

        “เราก็บอกเขาว่า อาจารย์ เราต้องเป็นคนสร้างองค์ความรู้ ยืนยันว่าจะขอ public announcement ในการมีคลินิก”

        “จำได้เลยว่า ตอนนั้น มีผู้บริหารอีกคนหนึ่งบอกว่า ได้ แต่ว่าที่นั่งรอ ต้องแยกจากคนอื่น เพื่อจะได้ไม่เป็นตัวอย่าง เพราะว่าคลินิกนี้มันเกิดขึ้นในคลินิกเด็ก จะได้ไม่เป็นตัวอย่างกับเด็ก ๆ”

        แต่หมอโอ๋ยังยืนยันว่า ไม่

        “ไม่ค่ะ เราอยากให้เด็ก ๆ เห็นเป็นตัวอย่าง ว่าชีวิตเขาสามารถเป็นแบบที่เขาต้องการได้ ว่าชีวิตเขามีทางเลือกที่จะเป็นตัวเองได้”

        คุณโน้ต รตี แต้สมบัติ ผู้อำนวยการเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวโดยสรุปไว้ว่า เราต้องตั้งคำถามกับระบบสองเพศ และความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้จัดบริการกับผู้ใช้บริการทางสุขภาพ

        นอกจากนั้น ยังอยากเห็นความกล้าหาญของบุคลากรทางการแพทย์ในการเริ่มจัดทำโครงการนำร่อง หรือแสดงเจตจำนงเรื่องความสำคัญของความละเอียดอ่อนทางเพศ และผู้รับบริการเองก็ควรกล้าหาญที่จะออกมาส่งเสียงชื่นชมบุคลากรที่ดำเนินงานเรื่องนี้ และท้วงติงเมื่อพบการบริการที่ไม่เป็นมิตรหรือไม่เหมาะสม เป็นการเสริมแรงขับเคลื่อนซึ่งกันและกัน เพราะเราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มืออาชีพ ที่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและความหลากหลายทางเพศมากขึ้น

        “เราต้องตั้งคำถามกับระบบสองเพศ ที่พยายามจะจัดเป็น gender dialog ว่าเกิดมา มีจู๋ ต้องเป็นสุภาพบุรุษ เกิดมามีจิ๋ม ต้องเป็นสุภาพสตรี”

        “เราควรปฏิบัติต่อกันและกัน ในฐานะที่เราเป็นสุภาพชน ซึ่งสุภาพชนมันควรจะมีเรื่อง gender sensitivity ความละเอียดอ่อนในมิติทางเพศสภาพและเพศวิถี”

        “เพราะเราอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่มืออาชีพ คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและความหลากหลายทางเพศมากขึ้น”

เราจะมีวิธีการสื่อสารกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ยังไม่มีความละเอียดอ่อนทางเพศอย่างไร

        หมอโอ๋ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หัวหน้าสาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้ก่อตั้งเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” กล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์มีจุดยืนหลายแบบในเรื่องความหลากหลายทางเพศ ดังนั้น ควรบรรจุเนื้อหาเรื่องความละเอียดอ่อนทางเพศเข้าสู่หลักสูตรการเรียนการสอนของคณะแพทย์ศาสตร์ หรือใช้กรณีศึกษาต่าง ๆ ที่เป็นผลกระทบจากการขาดความละเอียดอ่อนทางเพศเพื่อเป็นตัวอย่างที่สร้างความตระหนักอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น หรือมากกว่านั้น ควรบรรจุเรื่องความละเอียดอ่อนทางเพศเป็นข้อบังคับในการผ่านการประเมินสถานพยาบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกสถานพยาบาลต้องทำจึงจะผ่านการประเมิน

        หมอปิแอร์ ผศ.นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวต่อว่า ต้องให้แพทย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านความหลากหลายทางเพศเริ่มเผยแพร่ให้กับแพทย์รุ่นหลัง ให้เกิดความตระหนักในเรื่องความละเอียดอ่อนทางเพศ หรือให้โรงพยาบาลเพิ่มคอร์สเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้แพทย์ได้ศึกษา ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งด้วยเช่นกัน

        คุณโน้ต รตี แต้สมบัติ ผู้อำนวยการเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้ความคิดเห็นว่า ควรสร้างพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนทั้งผู้ให้และผู้รับบริการสุขภาพ เพื่อสร้างความเข้าอกเข้าใจ และคิดว่า หากมีพื้นที่ลักษณะนี้เพิ่มขึ้น จะสามารถขับเคลื่อนประเด็นนี้ได้ดียิ่งขึ้นไปในอนาคต

สิ่งสำคัญที่ควรเริ่มทำได้ก่อนเป็นอันดับแรกคืออะไร

        หมอปิแอร์ ผศ.นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวไว้โดยสรุปว่า ผู้ป่วยหลายคนไม่ได้มีครอบครัวเป็นเซฟโซน บางทีการมาหาหมอที่โรงพยาบาลอาจเป็นพื้นที่ปลอดภัยเดียวของเขาก็ได้ ดังนั้น อยากฝากให้แพทย์มีความเข้าอกเข้าใจและให้เกียรติในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์หรือสุภาพชนคนหนึ่งด้วย

        หมอโอ๋ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หัวหน้าสาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอกเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้ก่อตั้งเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” กล่าวว่า ความรู้เรื่องความละเอียดอ่อนทางเพศไม่ใช่เรื่องยากจนเกินความสามารถของเหล่าแพทย์ หากมีไว้ก็ถือเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์เสริมที่ทำให้ทีมแพทย์ทำงานร่วมกับผู้คนได้ง่ายขึ้น

        และฝากถึงผู้รับบริการทางสุขภาพ ถึงแม้ว่าจะมีบุคลากรทางการแพทย์จำนวนไม่น้อยที่เคยสร้างบาดแผลให้กับผู้มีความหลากหลายทางเพศ แต่เราสามารถแสดงเจตจำนงได้ว่า  เรากำลังพยายามผลักดันให้องค์กรทางการแพทย์มีความเข้าใจในความละเอียดอ่อนในประเด็นนี้เพิ่มขึ้นอยู่เสมอ เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง

        คุณโน้ต รตี แต้สมบัติ ผู้อำนวยการเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ในบางครั้ง ประเด็นความละเอียดอ่อนทางเพศถูกมองว่ายังไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน และไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอ

        หน้าที่สำคัญของประชาชนคือร่วมกันตรวจสอบ ส่วนหน้าที่ของรัฐบาลคือจัดสรรงบประมาณสุขภาพและการศึกษาอย่างรอบด้าน แทนการจัดงบซื้อสิ่งไม่จำเป็น

        สุดท้ายนี้ คุณโน้ตยังได้กล่าวถึงประเด็น การรอคิวผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ยาวถึง 2 ปี เหตุเพราะโรงพยาบาลมองว่า การทำศัลยกรรมเพื่อการข้ามเพศเป็นความสวยงาม ทำให้ห้องผ่าตัดถูกคงไว้ให้ผู้ป่วยที่ถูกมองว่าต้องได้รับการรักษาจากโรคที่มีความสำคัญมากกว่า และฝากไว้ว่า สิทธิทางสุขภาพของคนข้ามเพศก็เป็นเรื่องเร่งด่วนจำเป็นเช่นกัน

“เหตุผลหนึ่งที่เราต้องรอในการทำศัลยกรรมหน้าอกถึงสองปี… เพราะเขามองว่าการทำศัลยกรรมเพื่อการข้ามเพศ เป็นความสวยงาม ดังนั้นห้องผ่าตัดต้องไว้กับผู้ป่วยมะเร็งผู้ป่วยหัวใจซึ่งสำคัญมากกว่า การที่เราจะบอกว่าอะไรจำเป็นกว่าอะไรสำคัญมากกว่า เราคิดว่าอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องตั้งคำถามว่าเพราะอะไร เพราะว่าสิทธิทางสุขภาพของคนข้ามเพศเป็นเรื่องเร่งด่วนสำคัญและจำเป็น ขอบคุณค่ะ”

—-------------------------------

เรียบเรียงโดย ศุภลักษณ์ ศรีจำเริญ กนกพร สาไชยันต์ และ นวนันต์ เกิดนาค

บทความนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์