Loading...

“มองนะ” แต่ “ไม่เห็น”: การออกแบบการเรียนรู้ที่เยียวยาและคลี่คลายอคติทางวัฒนธรรม

        อคติ คือ สิ่งที่ฝังรากอยู่ในความคิดและการรับรู้ของผู้คนมายาวนาน ซึ่งอาจแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งผ่านคำพูดหรือพฤติกรรมที่เลือกปฏิบัติ แต่ในอีกหลายกรณีก็แอบซ่อนอยู่ในโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างแนบเนียน เรามักจะพบอคติเหล่านี้ในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลาย เช่น อคติที่เกิดจากการเหมารวม โดยมองผู้คนต้องเป็นเหมือนกันหมด หรือแม้แต่การไม่พูดถึงใครบางคนหรือบางกลุ่มเลย ซึ่งหากค้นลงไปให้ลึกก็อาจพบว่า มีปัจจัยบางอย่างที่กำลังครอบงำอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมเหล่านั้น และแสดงออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว

        ปรากฏการณ์เหล่านี้อาจถูกกระตุ้นให้เด่นชัดขึ้นในช่วงเวลาที่สังคมเผชิญความขัดแย้งหรือความเปราะบาง ทำให้คำถามเรื่อง “เรา” และ “เขา” ยิ่งกลายเป็นรอยปริร้าวที่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นทุกวัน

        LSEd Social Change ขอชวนทุกคนมาร่วมถอด รื้อ และทำความเข้าใจอคติที่มีต่อกลุ่มประชากรต่าง ๆ ผ่านบทสัมภาษณ์ ผศ.ดร.ไอยเรศ บุญฤทธิ์ หรือ อ.ช้าง อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้อำนวยการ “โครงการวิจัยและพัฒนาห้องเรียนวัฒนธรรมเพื่อการเรียนรู้อยู่ร่วมสำหรับการจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาและ “โครงการวิจัยเพื่อยกระดับและขับเคลื่อนห้องเรียนวัฒนธรรมสำหรับการเรียนรู้อยู่ร่วมในสังคม” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) บทสนทนาครั้งนี้จะพาเราไปสำรวจทั้ง รูปแบบของอคติ แนวทางการคลี่คลาย กระบวนการเรียนรู้ที่เปิดพื้นที่ให้กับความเข้าใจ ไปจนถึง ความเปลี่ยนแปลงของทัศนคติและพฤติกรรม ที่เกิดขึ้นได้จริง ผ่านการศึกษาและการเรียนรู้ที่ออกแบบมาอย่างตั้งใจ

        แม้ประเทศไทยจะถูกขนานนามว่าเป็น “สยามเมืองยิ้ม” แต่ภายใต้รอยยิ้มเหล่านั้น กลับมีอคติหลากหลายรูปแบบที่ฝังรากลึกอยู่ในโครงสร้างสังคม วัฒนธรรม และความเชื่ออย่างแนบเนียน โดยเฉพาะต่อกลุ่มประชากรที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมหรืออัตลักษณ์

        จากประสบการณ์ของ อ.ช้าง ในการทำงานกับโครงการ “ห้องเรียนวัฒนธรรมฯ” อาจารย์พบว่า “อคติ” ไม่ได้ปรากฏในรูปแบบเดียวหรือจำกัดอยู่แค่คำพูดและท่าทีเชิงลบที่เห็นได้ชัดเจนอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น แต่ยังแสดงออกมาอย่างหลากหลาย ทั้งในระดับปัจเจก พฤติกรรมทางสังคม และโครงสร้างที่ฝังรากอยู่ในวัฒนธรรม ประสบการณ์เหล่านี้เผยให้เห็นว่า อคติมักซ่อนอยู่ในรายละเอียดของชีวิตประจำวันที่เรามองข้าม และหากไม่รู้เท่าทัน ก็อาจเผลอเป็นผู้สืบทอดหรือส่งต่ออคติโดยไม่รู้ตัว

การตีตราและการแบ่งเขา-เรา: เมื่อ “ความแตกต่าง” นำไปสู่ “ความแตกแยก”

        รากฐานสำคัญของอคติ คือ การสร้างคู่ตรงข้ามระหว่าง “พวกเรา” และ “พวกเขา” การแบ่งแยกนี้มักเกิดขึ้นจากการเหมารวม (stereotype) และการตีตรา (stigma) กลุ่มคนที่มีอัตลักษณ์หรือวิถีชีวิตที่แตกต่างออกไปจากบรรทัดฐานของสังคมส่วนใหญ่ สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากความขัดแย้งทางการเมืองที่แบ่งคนออกเป็นสีต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้าและความรุนแรงในบางกรณี

        ในปัจจุบัน การตีตรากลุ่มชาติพันธุ์ยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึก กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ มักถูกมองว่าเป็น “คนอื่น” และถูกสร้างภาพจำในแง่ลบ เช่น ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือเป็นผู้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ หรือเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้ถูกข่มเหงและเลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐ  หรือกรณีชาวเลที่ถูกมองว่าเป็นคนสกปรก ทำให้ไม่กล้าเข้ารับบริการทางสาธารณสุข การตีตราเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเจ็บปวดทางใจ แต่ยังนำไปสู่การกีดกันทางสังคม และจำกัดโอกาสในการใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียม

การเลือกปฏิบัติและความไม่เท่าเทียม: โครงสร้างและพฤติกรรมที่ซ้ำเติมกลุ่มเปราะบาง

        อคติที่เกิดขึ้นมักนำไปสู่การเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งปรากฏให้เห็นทั้งในระดับโครงสร้างและพฤติกรรม กลุ่มเปราะบางในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ ผู้สูงอายุ แรงงานข้ามชาติ คนไร้บ้าน หรือบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) ล้วนต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในรูปแบบต่าง ๆ

       คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ชี้ให้เห็นว่า บุคคลเหล่านี้ยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในการเข้าทำงาน การเลื่อนตำแหน่ง การเข้าถึงการศึกษา การรักษาพยาบาล และสวัสดิการสังคมต่าง ๆ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ กรณีแรงงานข้ามชาติที่มักถูกมองว่าเข้ามาแย่งงานคนไทยและไม่เสียภาษี ทั้งที่ในความเป็นจริงพวกเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้สามารถอาศัยและทำงานในประเทศไทยได้ นอกจากนี้ การไม่มีสัญชาติยังทำให้กลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากถูกเจ้าหน้าที่รัฐกระทำอย่างไม่เป็นธรรม หรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้คนในสังคมโดยอาจจะไม่สามารถเรียกร้องความยุติธรรมจากสังคม

อคติทางวัฒนธรรมที่ซ่อนเร้น: มายาคติที่กลายเป็น “ความปกติ”

        อคติบางอย่างไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่แฝงตัวอย่างแนบเนียนผ่านการสร้างภาพจำ ความเชื่อ หรือค่านิยมที่สืบทอดกันมาจนกลายเป็นเรื่อง “ปกติ” อคติทางวัฒนธรรมเหล่านี้มักปรากฏในสื่อต่าง ๆ ที่ผลิตซ้ำภาพเหมารวมเกี่ยวกับกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น การนำเสนอภาพชาวอาข่าในเพลงที่บิดเบือนจากความเป็นจริง ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดและตอกย้ำตราบาปให้กับกลุ่มชาติพันธุ์

        อคติต่อบุคคล LGBTQIA+ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจน แม้สังคมไทยจะดูเหมือนเปิดกว้างมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว อคติยังคงดำรงอยู่และเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป  การผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม แม้จะเป็นความก้าวหน้า แต่ก็ยังเผยให้เห็นถึงอคติที่ซ่อนอยู่ในสังคมผ่านการถกเถียงและความคิดเห็นที่แตกต่าง  นอกจากนี้ อคติระหว่างวัย เช่น การมอง “เด็กสมัยนี้” หรือ “มนุษย์ป้า/ลุง” ก็เป็นมายาคติที่สร้างความขัดแย้งในความสัมพันธ์ระหว่างวัยในสังคมไทย

อคติผ่านข้อมูลบิดเบือนและวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech)

        ในยุคดิจิทัล ข้อมูลที่บิดเบือนและวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างอคติในสังคม สื่อสังคมออนไลน์กลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยการโจมตีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลด้วยถ้อยคำที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นทางการเมืองและอัตลักษณ์ทางเพศ

        มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอคติ พบว่า Hate Speech มักพุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงและกลุ่ม LGBTQ+ โดยใช้การโจมตีเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกหรือลักษณะทางกายภาพ  นอกจากนี้ สื่อบางสำนักยังมีส่วนในการผลิตซ้ำอคติโดยการพาดหัวข่าวที่เจาะจงเชื้อชาติของผู้กระทำผิดที่เป็นแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ในแง่ลบ การกระทำเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำร้ายความรู้สึกของผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ยังบ่มเพาะความเกลียดชังและอาจนำไปสู่ความรุนแรงในโลกแห่งความเป็นจริงได้

อคติในชีวิตประจำวัน: การตัดสินจากเปลือกนอกและความเชื่อส่วนตัว

        อคติไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในระดับโครงสร้างหรือสื่อ แต่ยังปรากฏให้เห็นในชีวิตประจำวัน ผ่านการตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก การแต่งกาย อาหารการกิน หรือวิถีชีวิตที่แตกต่าง หลายคนมักใช้ความคิดหรือความเชื่อส่วนตัวเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินผู้อื่น โดยไม่เปิดใจยอมรับความแตกต่างหรือเรียนรู้สิ่งใหม่

        ตัวอย่างเช่น การล้อเลียนเรื่องการพูดไม่ชัดของกลุ่มชาติพันธุ์ หรือการมองว่าการแต่งกายของชาวม้งเป็นเรื่องแปลก การกระทำเหล่านี้ แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับสะท้อนถึงอคติที่ฝังลึก และสร้างความรู้สึกแปลกแยกให้กับผู้ที่ถูกกระทำ การยึดติดกับความคิดเดิมๆ หรือที่เรียกว่า “อคติอยากคงสถานะเดิม” (status quo bias) ทำให้ยากที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงหรือความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

ก้าวข้ามอคติด้วยการตระหนักรู้และเปิดใจ

        อ.ช้าง กล่าวว่า อคติในสังคมไทยเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ ตั้งแต่การตีตราที่ชัดเจนไปจนถึงอคติที่ซ่อนเร้นในวัฒนธรรมและชีวิตประจำวัน ผลกระทบของอคติไม่ได้หยุดอยู่แค่ความรู้สึก แต่ยังนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและความไม่เท่าเทียมที่เป็นรูปธรรม

        โครงการ “ห้องเรียนวัฒนธรรม” และความพยายามของภาคส่วนต่าง ๆ ในการสร้างความตระหนักรู้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ผู้คนเท่าทันอคติในใจตนเองและสังคม ซึ่งการลดอคติไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องคิดเหมือนกัน แต่คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ทุกคนสามารถถกเถียงและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพในความแตกต่างและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสังคมไทยที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติและเท่าเทียมอย่างแท้จริง

อะไรคือความเข้าใจผิดหรือความเชื่อที่มักนำไปสู่อคติต่อประชากรกลุ่มต่าง ๆ 

และเราจะเริ่มต้นคลี่คลายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

        เมื่อพูดถึง “อคติ” หลายคนอาจนึกถึงภาพของการเกลียดชังหรือการเลือกปฏิบัติอย่างเปิดเผย แต่ในความเป็นจริง อคติมักไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ง่ายนัก อ.ช้าง อธิบายว่า อคติเปรียบเสมือน “กำแพงที่มองไม่เห็น” ที่ฝังรากอยู่ทั้งในจิตใจของผู้คนและในโครงสร้างของสังคม คอยแบ่งแยก ยัดเยียดภาพจำ และสร้างความขัดแย้งโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ

        อย่างไรก็ตาม กำแพงนี้มิใช่สิ่งที่ทำลายลงไม่ได้ หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือในหลายระดับ ตั้งแต่การสำรวจตัวเอง ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนค่านิยมและสภาพแวดล้อมทางสังคม เพื่อให้เกิดความเข้าใจและอยู่ร่วมกันได้อย่างแท้จริง ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้จากแนวทางสำคัญเหล่านี้:

จุดเริ่มต้นที่ปัจเจก (ตัวของเราเอง) : การสร้างความตระหนักรู้ (Awareness)

        ก้าวแรกและสำคัญที่สุดในการทลายกำแพงอคติ คือ การทำให้ผู้คนได้เผชิญหน้าและสำรวจอคติในใจของตนเอง บ่อยครั้งที่ผู้คนมีอคติโดยไม่รู้ตัว เพราะมันถูกหล่อหลอมจากสภาพแวดล้อมและค่านิยมที่ซึมซับมา ดังนั้น กิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น การจัดกิจกรรม “จำลองสถานการณ์” ให้ผู้เข้าร่วมได้ลองสวมบทบาทเป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น การใช้ชีวิตหนึ่งวันบนรถเข็นวีลแชร์เพื่อเข้าใจความยากลำบากของคนพิการ หรือการจัดกิจกรรม "Privilege Walk" ที่ทำให้เห็นว่าต้นทุนชีวิตและโอกาสทางสังคมของแต่ละคนไม่เท่ากัน นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้ได้ฟังประสบการณ์ตรง จากผู้ที่เคยถูกเลือกปฏิบัติ เช่น การเชิญตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์มาเล่าเรื่องราววัฒนธรรมและความท้าทายที่ต้องเผชิญ หรือการฟังเรื่องเล่าจากบุคคลข้ามเพศเกี่ยวกับเส้นทางการค้นหาตัวตนและการต่อสู้ในสังคม สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระเทาะเปลือกแห่งความไม่รู้ และทำให้ผู้คนตระหนักว่าอคติของตนส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้อื่นอย่างแท้จริง

พัฒนาเครื่องมือสื่อสาร: การส่งเสริมทักษะทางวัฒนธรรม (Cultural Fluency)

        เมื่อเกิดการตระหนักรู้แล้ว ขั้นต่อไปคือการสร้างเครื่องมือที่จะช่วยให้เราสื่อสารและอยู่ร่วมกับความแตกต่างได้อย่างราบรื่น นั่นคือ ทักษะทางวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึงความสามารถในการ เข้าใจ ยอมรับ และปรับตัว ต่อวัฒนธรรมที่แตกต่าง ไม่ใช่แค่การท่องจำข้อมูล แต่เป็นการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และสังคมในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ในปัจจุบัน องค์กรภาคธุรกิจชั้นนำหลายแห่งได้นำการอบรมเรื่องความหลากหลายและการอยู่ร่วมกัน (Diversity & Inclusion) มาใช้ เพื่อให้พนักงานที่มีพื้นเพและช่วงวัยต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือในภาคบริการ การที่ผู้ประกอบการมีความเข้าใจในวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย ย่อมนำไปสู่การบริการที่ดีขึ้นและลดความขัดแย้งทางวัฒนธรรมได้ ทักษะนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในโลกยุคโลกาภิวัตน์

สร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม: การสร้างพื้นที่ปลอดภัย (Safe Space)

        การพูดคุยในประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างอคติและความเชื่อ จำเป็นต้องมีบรรยากาศที่เอื้ออำนวย การสร้างพื้นที่ปลอดภัย คือการจัดสภาพแวดล้อมที่ผู้คนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ได้อย่างอิสระและเท่าเทียม โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสินหรือตีตรา พื้นที่นี้อาจเป็นได้ทั้งใน ห้องเรียน ที่ครูผู้สอนสร้างกติการ่วมกันในการแสดงความคิดเห็นอย่างเคารพ หรือใน เวทีชุมชน ที่เปิดโอกาสให้คนต่างวัยหรือต่างกลุ่มความคิดได้มาพูดคุยกันอย่างสร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น กลุ่มสนับสนุนสำหรับเยาวชน LGBTQIA+ ที่พวกเขาสามารถแบ่งปันเรื่องราวได้อย่างสบายใจ หรือวงเสวนาที่เชิญผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองมาแลกเปลี่ยนมุมมองภายใต้การดำเนินรายการที่เป็นกลาง พื้นที่เหล่านี้จะช่วยลดความหวาดระแวงและเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกันมากขึ้น

เสริมเกราะป้องกันข้อมูล: การใช้สื่อและข้อมูลที่ถูกต้อง

        ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารท่วมท้น อคติมักถูกเติมเชื้อไฟจากข้อมูลที่บิดเบือนและวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ดังนั้น การสนับสนุนให้สังคมเข้าถึงข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง จึงเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ ภาครัฐและภาคประชาสังคมต้องร่วมมือกันส่งเสริมสื่อที่สร้างสรรค์และให้ข้อมูลรอบด้าน พร้อมกับต่อต้านการแพร่กระจายของข่าวปลอม ปัจจุบันมีองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงในไทย เช่น ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ หรือ Cofact ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลก่อนจะเชื่อหรือส่งต่อได้ นอกจากนี้ ผู้เสพสื่อเองก็ต้องมีทักษะในการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ตั้งคำถามกับพาดหัวข่าวที่ชี้นำ หรือเนื้อหาที่สร้างภาพเหมารวมต่อกลุ่มคนบางกลุ่ม เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือในการแพร่กระจายอคติ

ปรับรากฐานที่มั่นคง: การปรับค่านิยมและโครงสร้างทางสังคม

        อ.ช้าง กล่าวต่อว่า ท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคลและชุมชนจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจาก การปรับเปลี่ยนในระดับโครงสร้างและค่านิยมหลักของสังคม ซึ่งต้องอาศัยการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย การ ปลูกฝังค่านิยมที่เคารพในความเป็นมนุษย์และความหลากหลาย ควรเริ่มต้นตั้งแต่ในระบบการศึกษา โดยสอดแทรกเนื้อหาเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ และความหลากหลายทางวัฒนธรรมเข้าไปในหลักสูตร ขณะเดียวกัน การผลักดันนโยบายสาธารณะก็เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เป็นการรับรองสิทธิของคู่รักเพศหลากหลายอย่างเป็นทางการ หรือการออกนโยบายที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการอย่างจริงจัง สิ่งเหล่านี้คือการประกาศว่าสังคมไทยจะไม่ยอมรับการเลือกปฏิบัติ และพร้อมที่จะก้าวไปสู่สังคมที่ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม อคติหยั่งรากจากการมองความแตกต่างว่าเป็นภัยคุกคามหรือเป็นสิ่งที่ด้อยกว่า และมักถูกเสริมกำลังด้วยข้อมูลที่ผิดพลาดและค่านิยมที่ไม่เปิดรับสิ่งใหม่ ดังนั้น การคลี่คลายปัญหาจึงต้องเป็นกระบวนการที่ทำพร้อมกันในทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ การตระหนักรู้ของแต่ละคน ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ควบคู่ไปกับ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการยอมรับความหลากหลาย ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และสังคมโดยรวม การเดินทางนี้อาจต้องใช้เวลา แต่ทุกย่างก้าวที่เริ่มจากความเข้าใจและเปิดใจ จะนำพาสังคมไทยไปสู่จุดหมายของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเท่าเทียมได้อย่างแน่นอน

เมื่อการเรียนรู้เขย่าอคติและช่วยเปลี่ยนทัศนคติจากภายใน

        อ.ช้าง มองว่า การขจัดอคติที่ฝังรากลึกในสังคมไทยไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการสอนแบบบรรยายหรือการท่องจำตามตำราเพียงเท่านั้น หากแต่ต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง เช่น กระบวนการที่สามารถเขย่าความเชื่อเดิม เปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนได้ทบทวนตนเอง และค่อย ๆ เปิดประตูสู่ความเข้าใจในมุมมองที่แตกต่าง โครงการ “ห้องเรียนวัฒนธรรม” จึงถูกออกแบบมาให้เห็นถึงประสิทธิผลของแนวทางการเรียนรู้ที่เน้นการมีส่วนร่วมอย่างเข้มข้น ซึ่งไม่เพียงสร้างความรู้ แต่ยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม

กระบวนการเรียนรู้ที่มากกว่าการสอน

        ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ กระบวนการเรียนรู้ (Process) ที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลเพื่อนำผู้เรียนไปสู่การค้นพบด้วยตนเอง ซึ่งมีหัวใจสำคัญดังนี้

        การเรียนรู้เชิงปฏิบัติการและการสร้างโมดูลเฉพาะทาง: แทนที่จะเป็นการบรรยายทางเดียว โครงการใช้แนวทาง การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ที่เปลี่ยนสถานะผู้เรียนให้เป็น “นักวิจัย” ในประเด็นอคติของตนเอง ผู้เรียนถูกกระตุ้นให้ตั้งคำถาม ทดลองมุมมองใหม่ และสะท้อนคิดถึงความเชื่อเดิมของตนเองอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการใช้ โมดูลการเรียนรู้เฉพาะ (Cultural Modules) ที่พัฒนาขึ้นกว่า 36 โมดูล เพื่อเจาะลึกไปยังอคติในรูปแบบต่างๆ เช่น โมดูล “อคติแบบแอ๊บๆ” ที่ไม่ได้พูดถึงการเลือกปฏิบัติอย่างโจ่งแจ้ง แต่ชวนให้สำรวจอคติที่ซ่อนเร้นต่อกลุ่ม LGBTQIA+ ผ่านคำพูดเล็กๆ น้อยๆ หรือการกระทำที่ดูเหมือน “ปกติ” ในชีวิตประจำวัน เช่น การแซวเรื่องเพศสภาพ หรือการตั้งคำถามถึงรสนิยมทางเพศของคนอื่นโดยไม่จำเป็น ซึ่งทำให้ผู้เรียนเห็นว่าตนเองอาจมีส่วนในการสร้างบาดแผลให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว หรือ โมดูล “เขาว่า...เขาหน่ะใคร” ที่ฝึกทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้ผู้เรียนตระหนักว่าข่าวลือหรือภาพเหมารวมต่างๆ ที่เราได้ยินมานั้น มีที่มาอย่างไร และส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนที่ถูกกล่าวถึงเพียงใด

        การใช้สถานการณ์จำลองและประสบการณ์ตรง: เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าการรับรู้ทางความคิด โครงการได้นำ การจำลองสถานการณ์ (Simulation) มาใช้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ “สัมผัส” ถึงความรู้สึกกดดันและอึดอัดของกลุ่มเปราะบาง เช่น การจำลองสถานการณ์ที่ผู้เข้าร่วมต้องเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติเนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอก หรือการถูกกีดกันออกจากกลุ่ม ประสบการณ์นี้สร้างผลกระทบทางอารมณ์ที่ทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ได้อย่างทรงพลังยิ่งกว่าคำสอนใดๆ

        การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้: หัวใจสำคัญที่ทำให้กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปได้คือ พื้นที่ปลอดภัย (Safe Learning Space) ห้องเรียนถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนมุมมองที่เปราะบางของตนเองได้ โดยปราศจากการตัดสินหรือตีตรา บรรยากาศที่ไว้วางใจนี้ทำให้เกิด การพูดคุยเชิงลึก ผู้เข้าร่วมกล้าที่จะยอมรับว่าตนเองมีอคติและพร้อมที่จะเรียนรู้ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพื้นที่ในโซเชียลมีเดียที่มักเต็มไปด้วยการโจมตี การเปิดใจรับฟังในพื้นที่ปลอดภัยจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น: จากการตระหนักรู้สู่การเปลี่ยนแปลง

        อ.ช้าง กล่าวต่อว่า กระบวนการเรียนรู้ที่เข้มข้นที่กล่าวมาข้างต้น ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในตัวผู้เข้าร่วมในหลายระดับ

        ประการแรก คือ การตระหนักรู้ถึงอคติของตนเอง ผู้เรียนจำนวนมากสะท้อนว่า ก่อนเข้าร่วมโครงการ พวกเขามองว่าอคติเกิดจากความเกลียดชังเท่านั้น แต่กระบวนการทำให้พวกเขาค้นพบว่า อคติยังเกิดจาก การยึดติดในสิ่งที่ตนเองเชื่อ หรือความสบายใจในโลกทัศน์ของตัวเอง จนเกิดการปิดกั้นต่อ “ความเป็นอื่น” การตระหนักรู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลง

        ประการที่สอง คือ การเข้าใจประชากรกลุ่มต่างๆ ในมิติที่ลึกขึ้น การได้ฟังประสบการณ์ตรงจากกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เล่าถึงการต่อสู้เพื่อรักษาอัตลักษณ์และที่ดินทำกิน แรงงานข้ามชาติที่เล่าถึงความท้าทายในการเข้าถึงสวัสดิการ หรือบุคคลข้ามเพศที่เล่าถึงเส้นทางชีวิตที่ต้องเผชิญกับการไม่ยอมรับ ได้ทลายภาพเหมารวมที่สื่อกระแสหลักสร้างขึ้น ทำให้ผู้เรียน เห็นคุณค่าของความหลากหลาย และมองเห็นเพื่อนมนุษย์ในฐานะปัจเจกบุคคลที่มีเรื่องราวและความฝัน ไม่ใช่แค่ภาพแทนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

        สุดท้ายและสำคัญที่สุด คือ การเปลี่ยนทัศนคติและปรับพฤติกรรม เมื่อความเข้าใจถูกบ่มเพาะจนสุกงอม ผู้เข้าร่วมจำนวนมากสะท้อนว่าตนเองเกิด การเปิดใจยอมรับความแตกต่างมากขึ้น ลดการตัดสินหรือเหมารวมผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกหรือเชื้อชาติ และสิ่งนี้ได้นำไปสู่การปรับพฤติกรรมในชีวิตจริง พวกเขาเรียนรู้ที่จะ ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์อย่างเท่าเทียม และกล้าที่จะทักท้วงเมื่อเห็นการกระทำที่กดขี่หรือตีตราผู้อื่นในสังคม

        ดังนั้น โครงการ “ห้องเรียนวัฒนธรรม” ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การจะคลี่คลายปัญหาอคติในสังคมนั้น ต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้ง ทั้งผ่านการฟัง การแลกเปลี่ยน การตั้งคำถามกับตนเอง และการเผชิญกับสถานการณ์จริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่แค่ความรู้ที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่หยั่งลึกถึงระดับทัศนคติและพฤติกรรม นี่คือโมเดลการศึกษาที่มีชีวิต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการสร้างพลเมืองที่พร้อมจะอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างสันติและเคารพซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง

การศึกษาและการเรียนรู้ เพื่อคลี่คลายอคติและสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียม

        อ.ช้าง มองว่า การศึกษาไม่ใช่เพียงเครื่องมือในการถ่ายทอดความรู้ แต่คือพลังสำคัญในการสร้างรากฐานของ “สังคมแห่งการเคารพสิทธิและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”

        ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอุดมการณ์ในสังคมไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่า “อคติ” ยังคงเป็นรากเหง้าของความขัดแย้งและการเลือกปฏิบัติในหลายมิติ อย่างไรก็ตาม จากรายงานโครงการ “ห้องเรียนวัฒนธรรม” ได้สะท้อนมุมมองที่เปี่ยมด้วยความหวังว่า การศึกษาและการเรียนรู้ คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการทลายกำแพงแห่งอคติ และเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่เคารพสิทธิมนุษยชนและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยมีบทบาทสำคัญในมิติต่างๆ ดังนี้

บทบาทของการศึกษาในการลดอคติ: ปลูกฝังรากฐานแห่งความเข้าใจ

        การศึกษามีบทบาทโดยตรงในการลดอคติ โดยทำหน้าที่เป็นเข็มทิศนำทางให้ผู้เรียนก้าวข้ามความไม่รู้และความกลัว ซึ่งเป็นบ่อเกิดสำคัญของทัศนคติเชิงลบ เช่น ปลูกฝังความเข้าใจในความหลากหลาย การศึกษาในรูปแบบใหม่ไม่ใช่แค่การท่องจำข้อมูล แต่คือการเปิดโลกทัศน์ให้ผู้เรียนได้ เข้าใจประชากรที่มีความแตกต่าง ทั้งทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และวิถีชีวิต โดยไม่นำบรรทัดฐานของตนเองไปตัดสินว่าสิ่งใดดีหรือด้อยกว่า เช่น การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ที่ไม่จำกัดอยู่แค่ประวัติศาสตร์ชาติไทยกระแสหลัก แต่ขยายไปสู่เรื่องราวของอาณาจักรล้านนา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นปาตานี หรือวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จะช่วยให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของทุกวัฒนธรรมในฐานะส่วนหนึ่งของสังคมไทย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เสริมสร้างวิจารณญาณต่อข้อมูล ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารท่วมท้นและบิดเบือนได้ง่าย กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการคิดวิเคราะห์จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถ แยกแยะข้อมูลจริง-เท็จ และรู้เท่าทัน Hate Speech ที่เป็นตัวเร่งให้ความเกลียดชังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น เมื่อมีข่าวปลอมที่สร้างภาพลบต่อแรงงานข้ามชาติ ผู้เรียนที่มีวิจารณญาณจะสามารถตั้งคำถาม ตรวจสอบแหล่งที่มา และไม่ส่งต่อข้อมูลที่สร้างความแตกแยกเหล่านั้น

        ลดค่านิยมที่นำไปสู่การแบ่งแยก การศึกษาที่เน้นการเปิดใจรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จะท้าทายค่านิยมแบบ "เขา-เรา" หรือ "คนใน-คนนอก" ให้สั่นคลอน เมื่อผู้เรียนได้ถกเถียงในประเด็นที่หลากหลายภายใต้บรรยากาศที่ปลอดภัย พวกเขาจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยค่านิยมที่ เคารพในความเป็นมนุษย์ มากกว่าจะยึดติดกับอัตลักษณ์ที่แบ่งแยกผู้คนออกจากกัน

กระบวนการเรียนรู้ที่นำไปสู่การสนับสนุนความเท่าเทียม

        การจะบรรลุเป้าหมายข้างต้นได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่ออกแบบมาอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก ดังนี้

        1) การเผชิญหน้ากับอคติของตนเอง: ผ่านโมดูลและกิจกรรมที่ท้าทาย เช่น การจำลองสถานการณ์ ให้สวมบทบาทเป็นผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติ หรือ การฟังประสบการณ์ตรง จากกลุ่มเปราะบาง ทำให้ผู้เรียนได้สัมผัสถึงผลกระทบของอคติอย่างลึกซึ้ง

        2) การสร้างพื้นที่ปลอดภัย (Safe Space): จัดห้องเรียนหรือวงสนทนาให้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระโดยไม่มีการตัดสิน ซึ่งจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนที่จริงใจและสร้างสรรค์

        3) การส่งเสริมทักษะทางวัฒนธรรม (Cultural Fluency): พัฒนาทักษะให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้อย่างเคารพและเข้าใจ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อสังคม: จากห้องเรียนสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

        เมื่อผู้เรียนซึ่งเป็นหน่วยย่อยของสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง ผลลัพธ์เชิงบวกย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างออกไปสู่สังคมโดยรวม

        1) การยอมรับความหลากหลายที่เพิ่มขึ้น: ผู้ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้จะมีทัศนคติที่เปิดกว้าง เคารพในความแตกต่าง และลดการเหมารวมผู้อื่น พวกเขาจะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมแห่งการยอมรับในองค์กร ชุมชน และสังคม

        2) การเข้าถึงสิทธิอย่างเท่าเทียมมากขึ้น: เมื่ออคติในตัวบุคคลลดลง การเลือกปฏิบัติในสถาบันต่างๆ ก็จะลดลงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน ที่ทำงาน หรือหน่วยงานราชการ ทำให้กลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่มชาติพันธุ์ สามารถ เข้าถึงสิทธิ ทางการศึกษา การจ้างงาน และบริการสาธารณะได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น การขับเคลื่อนกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเมื่อทัศนคติของผู้คนเปลี่ยนแปลง ย่อมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อรับรองสิทธิที่เท่าเทียม

        3) การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ: ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อความเข้าใจเข้ามาแทนที่ความหวาดระแวง ความขัดแย้งในสังคมก็จะลดน้อยลง การเรียนรู้ซึ่งกันและกันจะสร้างวัฒนธรรมการอยู่ร่วมที่เกื้อกูลและนำไปสู่สังคมที่สงบสุขได้อย่างแท้จริง

        อ.ช้าง ทิ้งท้ายไว้ว่า ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การศึกษาและการเรียนรู้ที่เน้นการเปิดใจ รับฟัง และตระหนักถึงอคติของตนเอง คือจุดเริ่มต้นอันทรงพลังของการสร้างสังคมที่ เท่าเทียม และ เคารพสิทธิของทุกคน ซึ่งไม่ใช่แค่การให้ความรู้ แต่เป็นการบ่มเพาะหัวใจของความเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะเข้าใจผู้อื่น เมื่อผู้เรียนในวันนี้เปลี่ยนแปลง สังคมโดยรวมก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปในทิศทางที่สามารถอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายได้อย่างสันติและยั่งยืน

เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค