Loading...

“วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน” มุมมองจากห้องเรียนสู่สังคม

        วิทยาศาสตร์อาจฟังดูเป็นเรื่องไกลตัวหรือซับซ้อนในตำราเรียน แต่แท้จริงแล้วมันอยู่รอบตัวเราเสมอ ตั้งแต่กิจวัตรเล็ก ๆ ที่เราทำในทุกวัน เช่น การต้มน้ำให้เดือดก่อนชงกาแฟ การเก็บอาหารในตู้เย็นเพื่อป้องกันการบูดเสีย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับร่างกาย ไปจนถึงการสวมหน้ากากอนามัยในวันที่อากาศเต็มไปด้วยฝุ่น ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์คือส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ที่ช่วยให้เราเข้าใจเหตุผลของสิ่งต่าง ๆ และตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

        ในบทความนี้ LSEd Let’s Talk ชวนพูดคุยกับ ผศ.ดร.สิทธิกร จันทร์เจริญฤทธิ์ หรือ อ.ป๊อก อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ผู้มีความสนใจและเชี่ยวชาญในด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา การสอนวิทยาศาสตร์ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และสะเต็มศึกษา ที่จะมาแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับ “วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน” ว่ามีความหมายอย่างไร เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ของผู้คนอย่างไร และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่าต่อสังคมได้อย่างไร

        อ.ป๊อก อธิบายว่า “วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน” หมายถึงพื้นฐานความรู้และความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ที่ทุกคนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงในการดำเนินชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม ความรู้เหล่านี้มิได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่ผ่านกระบวนการศึกษาค้นคว้าและตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจธรรมชาติและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างเกื้อกูลและยั่งยืน

        สิ่งสำคัญคือ วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวันไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือซับซ้อนเกินไป หากแต่มุ่งเน้นให้ผู้คนสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างยืดหยุ่น สอดคล้องกับวิถีชีวิตและบริบทของตนเองและชุมชนรอบข้าง ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว การตระหนักถึงวิทยาศาสตร์ในมิติชีวิตประจำวันเช่นนี้ จะช่วยให้สังคมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์กับชีวิตประจำวันของผู้เรียน

        อ.ป๊อก เห็นว่าการสอนวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนควรไม่หยุดอยู่เพียงการบอกเล่าข้อเท็จจริงหรือสูตรสำเร็จ แต่ต้องให้ผู้เรียนเข้าใจถึงหลักการและเหตุผลเบื้องหลังความรู้เหล่านั้น ว่าวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติรอบตัวได้อย่างไร กระบวนการเรียนรู้จึงควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกการสังเกตและทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งจากการใช้ประสาทสัมผัสพื้นฐานของมนุษย์ เช่น การมองเห็น การได้กลิ่น หรือการสัมผัส ตลอดจนการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้มองเห็นรายละเอียดลึกยิ่งขึ้น

        นอกจากนี้ หากครูสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำเหตุการณ์หรือกิจวัตรในชีวิตประจำวันมาเป็นตัวอย่างประกอบการอธิบาย เช่น การเดือดของน้ำ การเกิดฟองจากการผสมสาร หรือแม้แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว ก็จะช่วยทำให้ผู้เรียนเชื่อมโยงวิชาการกับประสบการณ์จริงได้ดียิ่งขึ้น เมื่อผู้เรียนเห็นว่าวิทยาศาสตร์มีอยู่ในสิ่งที่พบเจอทุกวัน พวกเขาจะเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น และสามารถนำความรู้นั้นไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีความหมาย

ตัวชี้วัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่สะท้อนสู่การปฏิบัติ

        อ.ป๊อก อธิบายว่า การประเมินว่าผู้เรียนสามารถนำวิทยาศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงนั้น ไม่ได้วัดจากเพียงการท่องจำเนื้อหาหรือการทำข้อสอบเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การลงมือปฏิบัติ” โดยผู้เรียนต้องสามารถนำความรู้และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์มาใช้ประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ และตัดสินใจอย่างมีเหตุผลภายใต้กรอบของวิทยาศาสตร์ กระบวนการเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้เรียนไม่ได้เพียงรับรู้ แต่สามารถประยุกต์ใช้ความรู้เป็นการกระทำที่มีความหมาย

        กิจกรรมที่แสดงถึงการนำวิทยาศาสตร์ไปใช้จริงไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องซับซ้อนหรือการทดลองในห้องแล็บเสมอไป แต่อาจเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ เช่น การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์กับเพื่อน ครู หรือครอบครัว การเลือกค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือหรือสื่อออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ รวมถึงการตัดสินใจปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันด้วยตนเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวชี้วัดว่าผู้เรียนสามารถใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง

การสร้างความเข้าใจวิทยาศาสตร์ในสังคมเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

        อ.ป๊อก กล่าวว่า การทำให้สังคมเข้าใจวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ซับซ้อนหรือจำกัดอยู่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่ควรเริ่มจากการฝึกฝนการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมง่าย ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การหยิบยกสิ่งที่ผู้คนพบเจอเป็นประจำมาอธิบาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของอาหารเมื่อปรุงสุก การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือแม้แต่การสังเกตสภาพอากาศ ล้วนช่วยให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์อยู่รอบตัวและสามารถอธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้ได้อย่างมีเหตุผล

        ที่สำคัญ การสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในพฤติกรรมของผู้คนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น “เป็นประโยชน์เมื่อรู้” และแนวทางปฏิบัติที่ตามมานั้นไม่ซับซ้อนจนเกินไป แต่สอดคล้องกับกิจวัตรที่ผู้คนทำอยู่แล้วในแต่ละวัน เช่น การล้างมือให้ถูกวิธี การเลือกอาหารที่มีประโยชน์ หรือการลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง เมื่อผู้คนเห็นว่าสิ่งที่ทำได้นั้นง่าย ใกล้ตัว และให้ผลลัพธ์ที่ดี พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะนำวิทยาศาสตร์ไปใช้จริงในชีวิตและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในสังคมได้

การพัฒนาตนเองเพื่อขยายบทบาทด้านวิทยาศาสตร์

        อ.ป๊อก เล่าว่า ในช่วงนี้กำลังให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างพื้นฐานความรู้ด้านอื่น ๆ ควบคู่ไปกับงานสอนและงานบริการวิชาการ โดยเฉพาะการศึกษาและทำความเข้าใจเรื่อง System Thinking หรือการคิดเชิงระบบ ซึ่งเป็นแนวทางที่มองภาพรวมและความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่าง ๆ ได้ชัดเจนขึ้น อ.ป๊อกเชื่อว่าทักษะนี้จะช่วยให้สามารถทำงานในระดับที่ “มองเห็นภาพใหญ่” ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

        เป้าหมายสำคัญจึงไม่ใช่เพียงการพัฒนางานวิจัยหรือการสอนเท่านั้น แต่รวมถึงการพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการสร้างความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับสังคมในมิติที่กว้างขึ้น เมื่อมีกรอบการคิดที่รอบด้านและเป็นระบบ ก็จะสามารถออกแบบงานทั้งในห้องเรียนและสู่สังคมให้เกิดผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนได้มากขึ้น

        สุดท้ายนี้ จากการสนทนากับอ.ป๊อก ทำให้เห็นชัดเจนว่า “วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน” ไม่ได้เป็นเพียงองค์ความรู้ในตำรา แต่คือเครื่องมือในการมองโลกและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล การเรียนการสอนที่ดีจึงควรเชื่อมโยงเนื้อหากับสิ่งที่ผู้เรียนพบเจอจริงในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งและสามารถนำไปใช้ได้จริง ขณะเดียวกัน การประเมินผลการเรียนรู้ก็ต้องสะท้อนผ่านการลงมือทำและการตัดสินใจที่ใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวันหรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนก็ตาม นอกจากนี้ อ.ป๊อกยังมองไกลไปถึงการพัฒนาตนเอง โดยให้ความสำคัญกับการคิดเชิงระบบ (System Thinking) เพื่อมองเห็นภาพใหญ่และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในวงกว้างมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนตอกย้ำว่า วิทยาศาสตร์ไม่เพียงมีคุณค่าในห้องเรียน แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนและสังคมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและยั่งยืนได้

เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค