Loading...

เมื่อ “ความตาย” สอน “ความเป็น” : การตายในฐานะบทเรียนสำหรับการมีชีวิตอยู่

        ในช่วงเวลาแห่งความสูญเสียครั้งสำคัญ หลายคนอาจรู้สึกสะเทือนใจและหดหู่กับการจากไปของผู้คนที่เราผูกพัน แต่ในอีกมุมหนึ่ง เหตุการณ์เหล่านี้ก็กระตุ้นให้เราหวนคิดถึงความสำคัญของ “ชีวิต” และบทบาทของ “ความตาย” ในฐานะส่วนหนึ่งของวงจรชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้มนุษย์ทุกคนต่างมีวันเกิดและวันดับสูญ แต่น่าเสียดายที่คนจำนวนมากยังมองเห็น “ความตาย” ว่าเป็นเรื่องที่ไม่กล้าหรือไม่ควรเอ่ย ทั้ง ๆ ที่การเรียนรู้และพูดคุยเรื่องนี้อย่างเปิดใจ อาจช่วยให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น และเตรียมรับมือกับการสูญเสียอย่างมีสติ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

        LSEd Let’s Talk จึงอยากชวนทุกคนมาร่วมแลกเปลี่ยน และทำความเข้าใจกับประเด็นว่าด้วย “การอยู่และการจาก” ผ่านบทสัมภาษณ์ ผศ.ดร.อัครา เมธาสุข หรือ อ.นอร์ท อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้สอนรายวิชา “ชีวิต เซ็กส์ ความตาย และการเรียนรู้” ที่จะพาเราไปสำรวจมิติของความตายในฐานะพื้นที่การเรียนรู้ ทั้งจากพิธีกรรม วัฒนธรรม และการสะท้อนกลับมาสู่ชีวิตของเราเอง ว่าแท้จริงแล้ว การพูดเรื่องความตายอาจเป็นอีกหนทางหนึ่งของการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้

        อ.นอร์ท กล่าวถึงทัศนคติของสังคมไทยต่อ “ความตาย” ว่า แม้เราจะมีเทศกาลหรือพิธีกรรมมากมายที่เกี่ยวข้องกับความตาย เช่น เทศกาลฮาโลวีน พิธีเชงเม้ง ชิงเปรต ตานขันข้าว ตานก๋วยสลาก บุญข้าวประดับดิน บุญสารท ซึ่งกระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ แต่เรากลับพูดถึงความตายในเพียงบางแง่มุมเท่านั้น

        ปัญหาคือ เรามักผลักให้ความตายเป็น “เรื่องของคนอื่น” มากกว่าจะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราเอง เมื่อมีใครเริ่มพูดถึงความตายของตนเอง เช่น การพูดถึงความเป็นไปได้ที่ตนจะตาย หรือการวางแผนการตายสำหรับอนาคต เรามักพบว่ามีใครสักคนจะรีบตัดบท บอกว่าการพูดเรื่องนี้เป็นเรื่องอัปมงคล เป็นลางร้าย หรือไม่เหมาะสมที่จะพูดถึง เราพยายามที่จะไม่มองเห็นจุดจบของชีวิตตัวเราเอง ทำเหมือนว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้อีกยาวนาน ทั้งที่ในความเป็นจริง ความตายคือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและเกิดขึ้นได้ทุกขณะ เพราะร่างกายของมนุษย์นั้นเปราะบางมาก เพียงสิ่งเล็กน้อยมากระทบก็สามารถทำให้ชีวิตหยุดลงได้ทันที

        อ.นอร์ท อธิบายว่า แม้การไม่พูดถึงความตายของตนเองอาจไม่ส่งผลต่อตัวเราโดยตรง เพราะเมื่อถึงเวลานั้นเราก็อาจไม่รับรู้อีกต่อไป แต่ผลกระทบจะตกอยู่กับ “คนที่ยังอยู่” ซึ่งต้องจัดการกับสิ่งที่ค้างคา ทั้งเรื่องงานศพ ทรัพย์สิน หรือความต้องการสุดท้ายของผู้ตาย หลายครอบครัวต้องเผชิญกับความขัดแย้ง ความกดดัน หรือภาระทางการเงิน เพราะไม่รู้ว่าผู้ตายต้องการอะไร จึงพยายามจัดงานศพให้ดีที่สุดตามมาตรฐานทางสังคมที่มักหมายถึงค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทั้งที่เราไม่เคยรู้เลยว่าคนตายเขาต้องการแบบนั้นไหม

        นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงการพูดถึงความตายยังทำให้เราไม่ได้เตรียมตัวว่าเราจะมีชีวิตในช่วงเวลาที่มีอยู่อย่างไร รวมถึงว่าเราจะได้ใช้เวลาในช่วงใกล้ตายอย่างไร การที่เราคิดว่าเราจะยังมีพรุ่งนี้ให้เริ่มใหม่เสมอ ยังตักตวงความสุขได้อีกเสมอ ยังมีเวลาให้ไปเคลียร์เรื่องที่จำเป็นทีหลังก็ได้ มันเหมือนกับคนที่ชะล่าใจจนไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล ของในกระเป๋ายังไม่ได้เตรียมเลยว่าต้องเก็บอะไรให้เข้าที่บ้าง อีกห้านาทีจะต้องไปสนามบินแล้ว เตรียมไม่ทันก็ลุกลี้ลุกลน ตายแบบพะว้าพะวง ตายแบบไม่อยากตาย เหมือนคนจะต้องเดินทางไกลแต่ของยังเก็บไม่เสร็จ ก็อาจจะบอกว่าขอต่อเวลาอีกหน่อยได้ไหม ถ้าเป็นเรื่องการเดินทางเราอาจจะโชคดีถ้าเครื่องบินดีเลย์ หรือเราอาจจะทิ้งตั๋วใบนั้นแล้วไปซื้อตั๋วใบใหม่ก็ได้ แต่ความตายอาจไม่ต่อเวลาให้เราเหมือนการเดินทาง พอถึงเวลาที่จะตายใจย่อมขุ่น วุ่นวายกับความคิดที่ถาโถมเข้ามาอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่สามารถจะตายอย่างสงบแบบที่เรียกว่า “Peaceful death”

เมื่อรู้ว่าชีวิตมีขีดจำกัด เราควรมองชีวิตอย่างไร

        อ.นอร์ท กล่าวว่าความหมายของชีวิตเป็นประเด็นที่มนุษย์พูดถึงกันมายาวนาน ทั้งในมิติของศาสนา ปรัชญา และความเชื่อส่วนบุคคล แต่ละแนวคิดต่างมีคำตอบของตัวเองต่อคำถามว่า “เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร”

        บางคนเชื่อว่าเรามีชีวิตเพื่อทำหน้าที่บางอย่างในโลก เพื่อชำระบาป เพื่อหลุดพ้น เพื่อสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่น หรือเพื่อพัฒนาตัวเองให้ถึงจุดสูงสุด ขณะที่ในมุมของสังคมทุนนิยม “ความหมายของชีวิต” มักถูกนิยามผ่านการเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง การประสบความสำเร็จ มีเงินทอง หรือได้รับการยอมรับจากสังคม

        อย่างไรก็ตาม อ.นอร์ท ชี้ว่า ความหมายของชีวิตอาจไม่ได้มีคำตอบที่ถูกเพียงคำตอบเดียวสำหรับทุกคนก็ได้ แนวคิด Absurdism หรือ “ปรัชญาแห่งความไร้สาระของชีวิต” เสนออีกมุมหนึ่งว่า ชีวิตเป็นเรื่องน่าขัน และอาจไม่มีความหมายใด ๆ อย่างแท้จริง สิ่งที่เราวิ่งตาม เช่น เงินทอง ชื่อเสียง ความดี หรือความงาม ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและถูกหล่อหลอมโดยสังคม เราเพียงแค่รับเอาความเชื่อเหล่านี้มาโดยไม่ได้ตั้งคำถาม ทั้งที่แท้จริงแล้ว ชีวิตของสิ่งมีชีวิตโดยธรรมชาติก็ยังดำเนินไปได้แม้จะปราศจากการกล่อมเกลาจากความเชื่อของมนุษย์ เกิด กิน นอน ตาย เป็นเรื่องปกติ และการตายเป็นแค่เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตหนึ่ง เราอาจไม่จำเป็นต้องเอากรอบที่สังคมกำหนดมาสวมบนตัวเราก็ได้หรือไม่

        แต่การพูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเราควรละทิ้งการแสวงหาความสำเร็จหรือคุณค่าทางสังคม เพราะแม้การเลือก “ไม่เชื่อ” ในกรอบเหล่านั้น ก็เป็นการเข้าไปอยู่ในกรอบอีกแบบหนึ่งของ Absurdism อยู่ดี สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันและเลือกอย่างมีสติว่า “ความหมายของชีวิตยังจำเป็นอยู่ไหม” และ “เราจะอยู่กับความหมายแบบไหน”

        เมื่อได้รู้จักความตาย บางคนอาจอยากรู้ว่าความหมายของชีวิตตัวเองคืออะไร ขณะที่บางคนอาจรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อไม่ต้องหาความหมายใด ๆ เลย สิ่งสำคัญคือการสำรวจว่า ความหมายของชีวิตยังจำเป็นไหม ความหมายแบบใดที่ทำให้เรารู้สึก “อยู่ได้” หรือ “อยู่ไม่ได้” แม้ว่าในบางคนอาจเลือกไม่ได้มากนัก เพราะข้อจำกัดของชีวิตและโครงสร้างสังคมก็ยังเป็นปัจจัยที่กำหนดความสามารถที่จะคิดของเราด้วยเช่นกัน

วัฒนธรรมไทยกับการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความตาย

        อ.นอร์ท กล่าวว่า สังคมไทยมีวัฒนธรรมหลายอย่างที่ใช้เปิดประเด็นคุยเรื่องเกี่ยวกับความตายได้ ทั้งวัฒนธรรมที่มีมานานแล้วและที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ ตัวอย่างเช่น ภาคเหนือมีตานก๋วยสลาก ภาคอีสานมีบุญข้าวประดับดิน ภาคใต้มีชิงเปรต ภาคกลางมีบุญสารทไทย คนไทยเชื้อสายจีนมีเชงเม้ง และคนรุ่นใหม่ก็เริ่มมีส่วนร่วมมากขึ้นกับฮาโลวีน พิธีกรรมและเทศกาลเหล่านี้อาจเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกับเรื่องราวของความตายมากขึ้น

        นอกจากนี้ เรายังมีสื่อต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความตาย และสื่อหลายชิ้นกลายเป็นกระแสหลักในสังคมด้วย แต่ละปีเรามีภาพยนตร์และละครเกี่ยวกับผี วิญญาณ และการตายเป็นจำนวนมาก บางคนอาจฟัง Podcast หรือฟังรายการผีอยู่ทุกวัน ผีและความตายเป็นเรื่องที่คนไทยมีความคุ้นเคย แต่ปัญหาคือ เมื่อเราเห็นความตายในประเพณีหรือในสื่อเหล่านั้นแล้ว เรามักจะรู้สึกว่ามันน่ากลัว แล้วเราไม่ยอมจำนนต่อความกลัวนั้นด้วย แต่เราจัดการความกลัวโดยการวิ่งหนีไปให้ไกล เป็นการวิ่งหนีอยู่ภายในความคิดของเรา โดยใช้คำปลอบใจกับตัวเองว่ามันยังไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้กับตัวฉันเองหรอก แล้วก็โชคดีที่มันไม่เกิดขึ้นจริงตามนั้น แต่เราก็ไม่รู้เลยว่าเราจะโชคดีไปได้ถึงเมื่อไหร่

        ดังนั้นความชะล่าใจนี้เองจึงเป็นอุปสรรค เพราะกว่าจะรู้ตัวก็อาจจะสายเกินไปแล้วที่จะรับมือกับความตายที่เกิดขึ้น ต่างจากในอดีตที่ประเพณีต่าง ๆ ที่ว่ามานี้เป็นพิธีกรรมที่ทำให้เห็นว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต บางพื้นที่ในอดีตจัดงานศพและงานระลึกถึงผู้ตายในลักษณะที่เป็นการเฉลิมฉลอง ซึ่งคือการเฉลิมฉลองความดีงามที่ผู้ตายได้เคยทำไว้ในอดีต และแสดงความยินดีกับการก้าวสู่บทถัดไปของผู้ตายในการเดินทางต่อไปหลังความตายครั้งนั้น และทำให้คนเป็นได้กลับมาทบทวนชีวิตของตัวเองด้วย

        อีกทั้งในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา สังคมไทยยังมีคนที่ช่วยกันขับเคลื่อนความเข้าใจและทำให้คนทั่วไปไว้วางใจที่จะพูดคุยเกี่ยวกับความตายของตัวเองได้หลากหลายบริบทมากขึ้น เมื่อก่อนความตายอาจถูกพูดถึงในมุมมองด้านศาสนาและความเชื่อไปเกือบทั้งหมด แต่ในปัจจุบันมีนับสิบองค์กรที่ช่วยกันทำงานในประเด็นนี้ ทั้งในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับศาสนาและแบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาเลย ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็มีความหลากหลายมากขึ้น มีทั้งความตายในมุมมองพุทธเถรวาท มหายาน วัชรยาน และศาสนาอื่น ๆ ไปจนถึงรูปแบบที่เชื่อมโยงกับการแพทย์ รูปแบบที่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงกับเป้าหมายในชีวิตหรือการใช้ชีวิตด้านอื่น ๆ นักศึกษาจากคณะเราทั้งที่จบการศึกษาไปแล้วและที่ยังศึกษาอยู่ ส่วนหนึ่งก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนความเข้าใจเหล่านี้โดยมุ่งเป้าหมายในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน สิ่งเหล่านี้นับเป็นความหวังในการพลิกฟื้นมุมมองเกี่ยวกับความตายในสังคมไทยให้เป็นเรื่องที่พูดคุยได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงวัยใด

การเรียนการสอนในประเด็นการทำความเข้าใจความตายหรือการสร้างความหมายของชีวิต

        อ.นอร์ท เล่าถึงประสบการณ์การสอนในรายวิชา “ชีวิต เซ็กส์ ความตาย และการเรียนรู้” ของคณะ ซึ่งเปิดสอนแก่นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาวิทยาการเรียนรู้ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 โดยเป็นวิชาที่ชวนนักศึกษาได้ทำความเข้าใจแง่มุมต่าง ๆ เกี่ยวกับแรงจูงใจในชีวิตมนุษย์ ความตายเป็นหนึ่งในเรื่องที่เราให้พื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างรอบด้านและหลากหลายแง่มุม ทั้งในมุมมองวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม การแพทย์ และกฎหมาย วิชานี้จะชวนผู้เรียนสะท้อนความรู้สึกและความคิดของตัวเองที่เกิดขึ้นเมื่อได้มองความตายในแต่ละแง่มุม และกลับมาย้อนดูว่าตัวเราเองมีมุมมองแบบใด มุมมองเหล่านั้นเป็นประโยชน์หรือให้โทษอย่างไร และเราจะสามารถมีบทบาทช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความตายในสังคมได้อย่างไรบ้าง

        อ.นอร์ท เล่าต่อว่า สำหรับวิชาในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ได้มีการสอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับความตายเข้าไปในวิชาอื่น ๆ ที่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการทำความเข้าใจชีวิตอย่างเป็นองค์รวม เช่น รายวิชา “สมอง จิต และกาย” ในปริญญาโท ซึ่งสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 และรายวิชา “สมอง จิต กาย และการเรียนรู้” ในปริญญาเอก ซึ่งสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 อีกทั้ง ได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องความตายในมหาวิทยาลัยอื่น เช่น ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยสยาม ทำให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยอื่น ๆ ก็มีรายวิชาเกี่ยวกับความตายด้วยเหมือนกัน รวมถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็มีการเรียนการสอนเรื่องความตายอย่างจริงจังมากด้วย นอกจากนี้ การเรียนรู้เกี่ยวกับความตายในระดับอุดมศึกษามีการพัฒนาออกไปหลากหลายแง่มุมมากกว่าในอดีต อย่างในคณะของเราก็มีวิชาใหม่ คือ วิชา “ความตาย การตาย และความเศร้าโศก” ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี สาขาวิชาศักยภาพมนุษย์และสุขภาวะ เพื่อให้นักศึกษาพร้อมออกไปดูแลคนในสังคมในมิติต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงมิติด้านความตายและอารมณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเศร้า ความเสียใจ ความผิดหวัง และความหดหู่

        นอกจากนี้ คณะฯ ยังทำงานขับเคลื่อนสังคมและงานวิจัยในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตในหลากหลายช่วงวัย อย่างในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เปิดใจเรียนรู้เรื่องความตายอย่างจริงจังมากในปัจจุบัน คณะฯ ได้มีความร่วมมือกับกลุ่ม Peaceful Death ในการที่จะได้ช่วยกันขับเคลื่อนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความตายและการเรียนรู้เกี่ยวกับความตาย ซึ่งรวมถึงการแสวงหาแนวทางในการทำงานวิจัยร่วมกันต่อไปด้วย

        ท้ายที่สุด การเปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้พูดคุยและเรียนรู้เรื่องความตายอย่างเปิดใจ ไม่เพียงช่วยให้เราเข้าใจการสิ้นสุดของชีวิตมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้เรากลับมาเห็นคุณค่าและใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความหมายยิ่งขึ้นด้วย

เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค