Learning Space ในชีวิตจริง พื้นที่ที่บ่มเพาะความสัมพันธ์และประสบการณ์ของผู้คน

ในโลกปัจจุบัน แนวคิดเรื่อง “พื้นที่การเรียนรู้” หรือ “Learning Space” กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วจากกรอบความเข้าใจเดิมที่จำกัดอยู่เพียงในโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือสถานศึกษาเท่านั้น พื้นที่การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทั้งในเมือง ร้านกาแฟ พื้นที่สีเขียว หรือแม้แต่พื้นที่ชั่วคราวที่ผู้คนสร้างขึ้นจากความต้องการเฉพาะของตนเอง การออกแบบพื้นที่ทางกายภาพตั้งแต่ระดับผังเมืองจนถึงภายในอาคาร จึงไม่เพียงเป็นเรื่องของความสวยงามหรือฟังก์ชัน แต่ยังส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์ ความสัมพันธ์ และประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้คนอย่างลึกซึ้ง
LSEd Let’s Talk ชวนพูดคุยกับ ผศ.ดร.ศรัณวิชญ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือ อ.บอย อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางผังพื้นที่สาธารณะเพื่อส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ของคน และเสริมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
บทสัมภาษณ์นี้จะพาไปสำรวจทั้งแนวคิด การตีความ และประสบการณ์จากงานสอน งานวิจัย และโครงการวิชาการ ที่สะท้อนให้เห็นความหมายใหม่ของ Learning Space ในยุคที่พื้นที่ทางกายภาพมีบทบาทซับซ้อนกว่าที่เคยเป็นมา พร้อมเปิดมุมมองว่าพื้นที่เหล่านี้ส่งผลต่อความรู้สึก ความเป็นส่วนหนึ่ง และคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แต่ละกลุ่มอย่างไรบ้าง

อ.บอย อธิบายว่า ในอดีต “พื้นที่การเรียนรู้” ของไทยมักถูกจำกัดอยู่เพียงในระบบโรงเรียนหรือสถานศึกษา เรามักนึกถึงห้องเรียน ห้องสมุด หรือพื้นที่ปิดที่ออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้โดยเฉพาะ แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา มุมมองนี้ได้ขยายตัวมากขึ้น เมื่อสังคมเริ่มให้ความสำคัญกับแนวคิด Lifelong Learning มากขึ้น พื้นที่ในเมืองตั้งแต่สวนสาธารณะ พื้นที่กิจกรรม ไปจนถึงเมืองทั้งเมือง ถูกตีความใหม่ว่าเป็น “พื้นที่การเรียนรู้” ได้ทั้งสิ้น กระแสแนวคิดเรื่อง Creative city และ Learning city ที่ดึงทุนทางวัฒนธรรม ความโดดเด่นด้านกายภาพและอัตลักษณ์ของพื้นที่ มารังสรรค์กิจกรรมต่างๆ ในเมืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงผู้คนให้ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านและสร้างโอกาสในการเรียนรู้ร่วมกันผ่านประสบการณ์จริงในพื้นที่เมือง
อ.บอย ชี้ให้เห็นว่า การมองพื้นที่เรียนรู้ได้เปลี่ยนจากการเรียนรู้แบบปัจเจก (Individualism) ที่เน้นความเป็นส่วนตัว เช่น ห้องสมุดที่เคยถูกออกแบบให้สามารถอ่านหนังสือได้อย่างเงียบสงบ จำกัดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันเพราะถือเป็นสิ่งรบกวนการเรียนรู้ ไปสู่การเรียนรู้แบบเป็นกลุ่ม (Collectivism) ซึ่งให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยน พูดคุย ทำงานร่วมกัน และเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ร่วม ดังนั้น พื้นที่เดิมอย่างห้องสมุดจึงกลายสภาพเป็น “พื้นที่พบปะและทำงานกลุ่ม” มากขึ้น ขณะที่แนวคิดนี้ยังส่งผลให้เกิดการออกแบบพื้นที่ใหม่ ๆ เช่น Co-working Space ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) หรือแม้แต่ร้านกาแฟ ซึ่งแม้จะเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ แต่ก็กลายเป็นพื้นที่ที่ผู้คนใช้สร้างสมาธิในการทำงานและสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
เมื่อผู้คนมีความต้องการที่หลากหลาย พื้นที่ในเมืองจึงถูกใช้ในหลายชั้นความหมาย (Multi-layered space) คือ พื้นที่เดียวกันอาจเป็นที่พักผ่อนสำหรับบางคน แต่เป็นพื้นที่อ่านหนังสือ เตรียมสอบ หรือทำงานสำหรับอีกกลุ่มหนึ่ง การใช้พื้นที่แบบนี้สะท้อนแนวคิดการรับรู้ถึงโอกาสในการใช้พื้นที่ตามจินตภาพของผู้ใช้งาน (Perceived affordance) คือ ความสามารถของผู้คนในการดึงศักยภาพของพื้นที่มาใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง ไม่ว่าพื้นที่นั้นจะถูกออกแบบเป็นพื้นที่เรียนรู้โดยตรงหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการที่คนผลิตหรือปรับแต่งพื้นที่ คล้ายคลึงกับของ Henri Lefebvre เรื่อง The spatial triad ที่เชื่อมโยงมุมมองการสร้างพื้นที่ และพฤติกรรมการใช้พื้นที่ของผู้คน ซึ่งถือว่าเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่สำคัญในการสะท้อนให้เห็นถึงการเรียนรู้และการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์การใช้งานพื้นที่ บริบททางสังคมที่มีผลต่อการออกแบบและการใช้งาน และจินตภาพในการออกแบบพื้นที่

ภาพจาก นิตยสาร Around
อิทธิพลผังเมืองต่อประสบการณ์การเรียนรู้: เมืองออกแบบอย่างไร ผู้คนก็เรียนรู้แบบนั้น
อ.บอย อธิบายว่า ในมุมมองผังเมือง เราไม่ได้มองแค่ “การใช้ประโยชน์ที่ดิน” แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า “ผู้คนใช้พื้นที่จริงในชีวิตประจำวันอย่างไร” แนวคิดนี้อยู่ภายใต้กรอบที่เรียกว่า นครศึกษา (Urban Studies) ซึ่งพิจารณาตั้งแต่พฤติกรรมของผู้คน การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่เมือง ไปจนถึงประเด็นสิ่งแวดล้อม สุขภาวะ และคุณภาพชีวิต ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการออกแบบพื้นที่เมืองให้ตอบสนองต่อการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ๆ ของผู้คน
หนึ่งในตัวอย่างสำคัญ คือ แนวคิด Transit-Oriented Development (TOD) ที่ได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมุ่งพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งให้กลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรม (Node) ไม่ใช่เพียงจุดผ่านทาง ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ดินโดยรอบสถานีเป็นร้านค้า ห้องสมุด พื้นที่สวนสาธารณะ ทำให้ผู้ใช้งานพื้นที่มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น เกิดการเรียนรู้และชุดประสบการณ์ร่วมในการใช้งานพื้นที่ ซึ่งช่วยสร้างอัตลักษณ์เชิงกายภาพของพื้นที่เมือง
กระแสการสร้างพื้นที่สาธารณะ และพื้นที่กึ่งสาธารณะขนาดเล็กเพื่อรองรับการใช้งานที่หลกหลาย ทำให้ทุกวันนี้เราพบ พื้นที่(กึ่ง)สาธารณะขนาดเล็ก ๆ ที่กระจายตัวในมุมถนนต่าง ๆ มากขึ้น ผู้คนจึงไม่จำเป็นต้องตั้งใจเดินทางไปยังพื้นที่เรียนรู้ เพราะพื้นที่เรียนรู้ได้ถูกออกแบบให้แทรกอยู่ในวิธีชีวิตประจำวันอย่างแยกไม่ออก
อ.บอย กล่าวต่อว่า “ความผูกพันต่อพื้นที่” (Place attachment) จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรมส่งผลให้พื้นที่การเรียนรู้มีลักษณะเฉพาะตามรูปแบบทางสังคม เช่น ในยุโรป พื้นที่สาธารณะมักอยู่ในรูปแบบพลาซ่าและสวนสาธารณะที่ถูกใช้เพื่อผ่อนคลายอ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ขณะที่ในญี่ปุ่น สถานีรถไฟกลับกลายเป็นพื้นที่ที่ผู้คนใช้พบปะ ทำงาน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมกัน สำหรับประเทศไทย แม้จะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่เรายังไม่มีภาพจำของพื้นที่การเรียนรู้อย่างชัดเจน พื้นที่ที่ผู้คนนิยมใช้กลับไม่ใช่พื้นที่สาธารณะในความหมายของ “เข้าถึงได้ง่ายและฟรี” แต่เป็นพื้นที่ที่มีราคาที่ต้องจ่ายเพื่อประสบการณ์ในนั้น ๆ หนึ่งในพื้นที่ยอดนิยม คือ ห้างสรรพสินค้า ซึ่งตอบโจทย์การนัดพบปะผู้คน และวิถีชีวิตของคนเมือง
ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่าน ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ขยายบทบาทจากแหล่งรวมร้านค้า ไปสู่ศูนย์รวมการเรียนรู้ เช่น สถาบันกวดวิชา ศูนย์หนังสือ พื้นที่นิทรรศการ พื้นที่อบรมเชิงปฏิบัติการณ์ และพื้นที่การทำงานร่วมกัน (Co-working space) ขณะเดียวกัน ห้างขนาดเล็กในเขตเมืองเผชิญกับความท้าทายด้านข้อจำกัดด้านพื้นที่ แต่ยังต้องในการรักษาตำแหน่งความเป็นจุดศูนย์รวมของย่าน เกิดการพัฒนาไปสู่แนวคิด Community mall ที่ผสานความเป็นพื้นที่พาณิชย์เข้ากับพื้นที่ชุมชน เกิดเป็น “พื้นที่กึ่งสาธารณะ” ที่เปิดให้ผู้คนเข้ามาใช้พื้นที่สีเขียวและพื้นที่ว่างระหว่างอาคาร สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการต่อรองเชิงพื้นที่อันเนื่องมาจากความขาดแคลนพื้นที่เมือง ที่คนในเมืองต่างก็มองหาพื้นที่สาธารณะในการพักผ่อนหย่อนใจ ที่เจ้าของห้างร้านหยิบยื่นให้เพื่อแลกกับโอกาสในการดำเนินธุรกิจของพวกเขา แม้ว่า Community mall ของภาคเอกชนสามารถเข้ามาช่วยบรรเทาความขาดแคลนพื้นที่สาธารณะในเขตเมือง แต่ก็ปฏิเสธถึง “ความเท่าเทียมในการเข้าถึง” ไม่ได้ เพราะสิทธิในการเข้าใช้พื้นที่ยังจำกัดอยู่ในกลุ่มที่มีความสามารถในการจ่าย และอาจนำมาสู่คำถามสำคัญว่าการใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์แทนพื้นที่สาธารณะจะส่งเสริมพฤติกรรมบริโภคนิยมหรือไม่ และบทบาทที่ภาคเอกชนควรมีต่อชุมชนควรเป็นเช่นไร
ท้ายที่สุด คนรุ่นใหม่ในไทยกำลังนิยามความหมายใหม่ให้กับการใช้พื้นที่สาธารณะ ผ่านกิจกรรมอย่างการนั่งฟังดนตรีในสวน การออกกำลังกาย การมองหาพื้นที่นั่งทำงาน หรือการจัดกิจกรรมเรียนรู้เกี่ยวกับต้นไม้และระบบนิเวศ ทำให้พื้นที่สาธารณะไม่ได้เพียงสำหรับการพักผ่อน แต่กลายเป็นพื้นที่การเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ชุมชน และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับเมือง

พื้นที่ในคณะที่หล่อหลอมการเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ของผู้คน
อ.บอย กล่าวว่า เมื่อมองบริบทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษา พื้นที่การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดเฉพาะภายในห้องเรียน แต่แผ่ขยายไปทั่วทั้งแคมปัส ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเมืองจำลองที่มีโซนต่าง ๆ รองรับการใช้ชีวิตและการเรียนรู้ในหลายมิติ คณะเองก็เป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญที่ตอบสนองความต้องการของผู้คนในลักษณะเดียวกัน ทั้งในฐานะพื้นที่การทำงาน พื้นที่ใช้ชีวิต และพื้นที่สร้างความสัมพันธ์ทางสังคม
อ.บอย กล่าวถึงการทำงานร่วมกับนักศึกษาปริญญาตรีและปริญญาเอก ในกิจกรรมสำรวจพื้นที่รอบมหาวิทยาลัย นักศึกษาสะท้อนว่าตึกคณะมีหลายจุดที่ช่วยสร้างประสบการณ์การเรียนรู้และสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่เดินผ่านไปมา หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัด คือ “คอริดอร์และทางเดิน” ที่ถูกออกแบบให้ผู้คนมองเห็นการเคลื่อนไหวของกันและกัน ช่วยให้เกิดการทักทาย พบปะ และสร้างความรู้สึกเชื่อมโยง แม้ในหมู่คนที่อาจไม่ได้สนิทกัน การมองเห็นหน้าเพื่อน รุ่นพี่ หรือรุ่นน้องเป็นประจำ ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนการเรียนรู้
นักศึกษายังสะท้อนว่า บันไดการเรียนรู้ (Learning step) ของคณะมีบทบาทเป็น พื้นที่เปลี่ยนผ่านทางอารมณ์ (Affective transitional space) ที่ช่วยปรับสภาวะอารมณ์จากความเหนื่อยล้าระหว่างวันไปสู่ความพร้อมในการเรียน การเดินขึ้น Learning step จึงไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่ทางกาย แต่เป็นกระบวนการปรับตัวทางจิตใจคล้ายกับการเข้าไปในพื้นที่ที่มีบรรยากาศเฉพาะ ซึ่งทำให้ผู้ใช้พื้นที่รับรู้ว่า “ตอนนี้ฉันกำลังเข้าสู่โหมดการเรียนรู้”
องค์ประกอบทางกายภาพ เช่น วัสดุที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นไม้ บันไดไม้ หรือผิวสัมผัสที่แตกต่างกัน ก็ทำหน้าที่เป็นตัวกำกับพฤติกรรมอย่างแนบเนียน วัสดุที่ให้ความรู้สึกเข้าถึงได้ง่ายอย่างไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นในการใช้งาน ทำให้พื้นที่ของ Learning step ถูกใช้ทั้งเพื่อพักผ่อน นั่งคุย ทำงานกลุ่ม หรือแม้แต่เป็นพื้นที่สังเกตการเคลื่อนไหวของผู้คนในคณะ ในขณะที่บันไดฝั่งที่เป็นผิวคอนกรีต บ่งชี้ถึงฟังก์ชั่นในการเป็นพื้นที่สัญจรระหว่างชั้นอาคารที่แยกออกจากพื้นที่พื้นไม้
ขณะเดียวกันสวนขนาดเล็ก (Pocket garden) ที่กระจายตัวอยู่ตามคอริดอร์และหน้าห้องเรียน ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของพื้นที่เพื่อการเรียนรู้ เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ใช้พื้นที่ได้หยุดพัก หายใจลึก ๆ หรือปรับสมาธิระหว่างเรียน เมื่อเกิดตวามตึงเครียดก็สามารถออกมาหลบหนีจากพื้นที่ตรงนั้นได้เพียงออกมาจากห้องเรียนไม่กี่ก้าว พื้นที่สีเขียวขนาดเล็กเหล่านี้จึงทำหน้าที่เป็นพื้นที่ฟื้นฟูสภาพจิตใจ และช่วยให้นักศึกษากลับเข้าห้องเรียนด้วยความพร้อมมากขึ้น

สำรวจพื้นที่ที่มีความหมายต่อผู้คน ผ่านงานวิชาการด้าน Learning Space
อ.บอย เล่าว่า หนึ่งในโครงการที่ทำเสร็จแล้วและเห็นคุณค่าต่อสังคมอย่างมาก คือ งานวิจัย เรื่อง “ประสบการณ์การใช้พื้นที่เชิงกายภาพของนักศึกษาวิจัยระดับมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต” ที่ศึกษาว่า พื้นที่ใดในมหาวิทยาลัยมีความหมายต่อชีวิตนักศึกษาบ้าง ทั้งนักศึกษาไทยและต่างชาติ ผ่านกิจกรรมที่ชื่อว่า Transect walk นักศึกษาจะพาอาจารย์เดินสำรวจพื้นที่ที่มีความหมายต่อพวกเขา โดยใช้เวลาตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงไปจนถึงสามชั่วโมง เพื่อให้ผู้วิจัยได้ถอดความรู้สึก ประสบการณ์ และความสัมพันธ์ที่พวกเขาผูกพันกับพื้นที่นั้น ๆ
จากข้อมูลที่ได้ นักศึกษาไทยหลายคนสะท้อนว่า ห้องแล็บ เป็นพื้นที่ที่ทั้งทำให้เกิดการเรียนรู้และสร้างความกดดันไปพร้อมกัน กล่าวคือ ในด้านหนึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องรายงานความก้าวหน้าให้อาจารย์ที่ปรึกษา แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดที่เกิดชุมชนวิชาการเล็ก ๆ ที่ช่วยสร้างแรงสนับสนุนและการเรียนรู้ร่วมกัน นอกจากนี้ นักศึกษายังมีพื้นที่หลบหนีความเครียดที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ร้านกาแฟ สวนระหว่างตึก ไปจนถึงการเดินออกมายืนเฉย ๆ นอกอาคาร เพื่อมองไปยังสนามฟุตบอลหรือมองผู้คนที่เดินผ่าน ซึ่งการเฝ้าสังเกตผู้คนแบบไม่ต้องคิดอะไรก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้พวกเขาผ่อนคลายจากความกดดันได้อย่างมาก
แม้นักศึกษาบางคนจะบอกว่า “พื้นที่ไม่ได้มีความหมายต่อเขา” แต่เมื่อชวนคุยลึกขึ้นก็พบว่าพวกเขามักจะมีความผูกพันกับกลุ่มคนที่ใช้พื้นที่นั้นอยู่เสมอ เช่น บริเวณหน้าผาจำลองที่มักมีผู้ใช้ประจำ สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าความสัมพันธ์กับพื้นที่หลายครั้งไม่ได้ผูกกับสถานที่ล้วน ๆ แต่ผูกกับผู้คนที่ทำให้พื้นที่นั้นมีชีวิตชีวา
ในมุมของนักศึกษาต่างชาติ แม้พวกเขาจะมองว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงพอ แต่เมื่อเจาะลึกลงไปกลับพบว่ามีบางพื้นที่ที่ทำให้รู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่ง หรือรู้สึกว่าตนเองเป็น ‘คนกลุ่มน้อย (minority group)’ อาจด้วยภาษา วัฒนธรรม หรือกลุ่มคนที่ครอบครองพื้นที่อยู่ก่อน การมองหาพื้นที่จึงกลายเป็น “การต่อรอง” เพื่อหาจุดที่ใช้งานได้โดยรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลาย
อีกประเด็นหนึ่งที่สะท้อนชัดจากการวิจัย คือ “การจัดสรรพื้นที่” ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกของผู้ใช้โดยตรง นักศึกษาหลายคนรู้สึกว่าห้องบัณฑิตศึกษา ถูกจัดไว้ในพื้นที่ที่มืด อับ และไม่น่าใช้งาน ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้ถูกให้ความสำคัญเท่าที่ควร สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ สะท้อนมิติของความเท่าเทียมและการเมืองของพื้นที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การแยกชั้นหรือแยกโซนระหว่างอาจารย์และนักศึกษา จึงอาจส่งผลต่อความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในมหาวิทยาลัยอีกด้วย

บทสัมภาษณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “พื้นที่การเรียนรู้” มีความหมายที่กว้างไกลและซับซ้อนกว่าที่เคยเข้าใจ พื้นที่ไม่ได้เป็นเพียงฉากหลังของการเรียนรู้ แต่มีบทบาทกำหนดพฤติกรรม ความรู้สึก และความสัมพันธ์ของผู้คนอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ระดับเมืองที่เปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ไปจนถึงพื้นที่เล็ก ๆ ภายในอาคารที่สามารถส่งเสริม หรือกดทับประสบการณ์ของผู้ใช้ได้
พื้นที่ทุกแห่งล้วนมีมิติทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองซ่อนอยู่ ทั้งในการจัดสรรพื้นที่ ระดับความเข้าถึง สิ่งที่พื้นที่เอื้อให้ทำ และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของผู้ใช้แต่ละกลุ่ม ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและการเรียนรู้ของผู้คน ในท้ายที่สุด การออกแบบพื้นที่เรียนรู้ที่ดีจึงไม่ใช่แค่การจัดวางเฟอร์นิเจอร์หรือสร้างบรรยากาศที่สวยงาม หากแต่คือการรับฟังเสียงของผู้ใช้ มองเห็นความแตกต่างหลากหลาย และทำให้พื้นที่กลายเป็นพื้นที่ของทุกคน
เรียบเรียงโดย นวนันต์ เกิดนาค